เนื้อหายาวไป จิ้มที่หัวข้อ เลือกอ่านได้เลยจ้า
The House with a Clock in Its Walls
หนังใหม่ 2018 บ้านเวทมนตร์และนาฬิกาอาถรรพ์
แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ และรีลายแอนซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ
ผลงานสร้างโดยมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์
แจ็ค แบล็ค
เคท แบลนเชตต์
โอเวน วัคคาโร
เรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี
ซันนี ซัลจิค
คอลลีน แคมป์
ลอเรนซา อิซโซ
และ
ไคล์ แม็คลัคเลน
สร้างจากนิยายโดย
จอห์น เบลแลร์ส
บทภาพยนตร์โดย
อีริค คริปเก้
กำกับโดย
อีไล ร็อธ
ชื่อภาพยนตร์: THE HOUSE WITH A CLOCK IN ITS WALLS
ชื่อไทย: บ้านเวทมนตร์และนาฬิกาอาถรรพ์
วันที่เข้าฉาย: 27 กันยายน 2561
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด
ข้อมูลงานสร้าง THE HOUSE WITH A CLOCK IN ITS WALLS
ตามธรรมเนียมของภาพยนตร์คลาสสิกโดยแอมบลิน ที่ซึ่งเหตุการณ์มหัศจรรย์จะเกิดขึ้นในสถานที่ที่คาดไม่ถึงที่สุด แจ็ค แบล็ค (Jumanji: Welcome to the Jungle, Goosebumps) และเคท แบลนเชตต์ นักแสดงเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี ออร์ด (Blue Jasmine, Thor: Ragnarok) นำแสดงใน The House with a Clock in Its Walls จากแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์, รีลายแอนซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์และมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์
การผจญภัยมหัศจรรย์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวชวนขนหัวลุกของ ลูอิส บาร์นาเวลท์ (โอเวน วัคคาโรจาก Daddy’s Home, Mother’s Day) เด็กชายวัยสิบขวบ ผู้ไปอาศัยอยู่กับลุงนิสัยพิลึกของเขาในบ้านเก่าซอมซ่อ ที่มีหัวใจเสียงดังติ๊กต่อกอย่างลึกลับ แต่โฉมหน้าที่เงียบเหงาหาวนอนของเมืองใหม่แห่งนี้กลับลุกขึ้นมามีชีวิตด้วยโลกลี้ลับของพ่อมดและแม่มดเมื่อลูอิสบังเอิญไปปลุกวิญญาณคนตายโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลูอิส วัยสิบขวบ ผู้เพิ่งเป็นกำพร้า และถูกส่งตัวไปอยู่กับโจนาธาน (แบล็ค) ลุงของเขา ได้ค้นพบโลกลี้ลับที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ ปริศนาและภัยร้ายเหนือธรรมชาติ ทั้งหมดนี้อยู่ในเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบของเขา ในตอนที่ลูอิสย้ายไปอยู่กับลุงโจนาธาน เขาก็ค้นพบว่า คฤหาสน์ลึกลับที่กลายเป็นบ้านของเขาในตอนนี้ เต็มไปด้วยความลับ และความลับที่สำคัญที่สุดคือเสียงติ๊กต่อกที่ดังอย่างต่อเนื่องมาจากที่ไหนซักแห่งในบ้านหลังนี้…
เขาไม่แน่ใจว่าอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจมากกว่า ระหว่างคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มหัศจรรย์…หรือลุงโจนาธานผู้พิลึกพิลั่นและคุณนายซิมเมอร์แมน (แบลนเชตต์) เพื่อนซี้ของโจนาธาน คู่ปะทะคารมและเพื่อนบ้านของเขา
ถ้าการปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนใหม่และเพื่อนใหม่ยังไม่โหดร้ายพอสำหรับชีวิตย่านชานเมืองที่คาดไม่ถึงนี้ล่ะก็ โลกทั้งใบของลูอิสก็พลิกตารปัตรเมื่อเขาได้ล่วงรู้ว่าลุงโจนาธานและคุณนายซิมเมอร์แมนเป็นผู้มีเวทมนตร์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ทั้งคู่
ตอนนี้ ลูอิสถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจไม่แพ้กันด้วยพ่อมดและแม่มด ผู้อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจลับในการค้นหาที่มาและความหมายของนาฬิกาเสียงติ๊กต่อกที่นับถอยหลังไปสูหายนะ…ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งภายในกำแพงของบ้านหลังนี้
ทั้งหมดนี้ บวกกับคำสาปร้าย ฟักทองรูปแจ็ค โอที่โจมตีคน การบ้านกองเป็นตั้งและพ่อมดชั่วร้ายที่ลุกขึ้นมาจากหลุม? ชีวิตใหม่ของลูอิสเป็นยิ่งกว่าสิ่งที่เด็กชายสิบขวบที่ชาญฉลาดและเจ้าเล่ห์จะต้านทานได้
ในตอนที่เด็กกำพร้าผู้หลงทางผู้นี้ได้แปลงร่างกลายเป็นหนึ่งในพ่อมดน้อยที่ทรงพลังที่สุดในโลก เขาไม่เพียงแต่จะพบการผจญภัยครั้งสำคัญของชีวิตเท่านั้น…แต่เขายังจะช่วยเยียวยาคนสองคนที่หัวใจแตกสลายและทำให้พวกเขาได้ค้นพบเวทมนตร์ของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
The House with a Clock in Its Walls สร้างขึ้นจากหนังสือเล่มแรกจากชุดหนังสือสำหรับเด็กที่เป็นที่รัก ที่เขียนโดยจอห์น เบลแลร์สและวาดภาพประกอบโดยเอ็ดเวิร์ด โกรีย์ กำกับโดยเจ้าพ่อภาพยนตร์สยองขวัญ อีไล ร็อธและเขียนบทโดยอีริค คริปเก้ (ผู้สร้างซีรีส์ Supernatural)
การผจญภัยสุดระทึกเรื่องนี้ร่วมแสดงโดยไคล์ แม็คลัคเลน (Twin Peaks) ในบทไอแซ็ค อิซาร์ด พ่อมดร้ายในตำนาน, คอลลีน แคมป์ (Joy) ในบทคุณนายแฮนเช็ตต์ เพื่อนบ้านจอมจุ้น, นักแสดงรางวัลโทนีและแกรมมี อวอร์ด เรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี (ละครเวทีบรอดเวย์เรื่อง Hamilton, ซีรีส์ The Good Wife) ในบทเซเลนา อิซาร์ด ภรรยาคนงาม ผู้ชั่วร้ายไม่แพ้กันของไอแซ็ค, วาเนสซา แอนน์ วิลเลียส์ (Joy) ในบท โรส หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นผู้ชาญฉลาดที่ลูอิสสามารถไปพึ่งพาได้ในยามยาก, ลอเรนซา อิซโซ (Once Upon a Time in Hollywood) ในบท คุณแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วของลูอิสและซันนี ซัลจิค (The Killing of Sacred Deer) ในบท ทาร์บี้ เพื่อนที่โรงเรียนของลูอิส ผู้ทั้งหลงใหลและสงสัยในเมืองของพวกเขาและประชากรที่พิลึกพิลั่นของมัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยแบรดลีย์ เจ. ฟิสเชอร์แห่งมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Shutter Island, Zodiac, Suspiria) และเจมส์ แวนเดอร์บิลท์ (Zodiac) และคริปเก้ ควบคุมงานสร้างโดยวิลเลียม ชีรัค (Role Models), เทรซีย์ ไนเบิร์ก (Safe Haven), เลตา คาโลกริดิส (Avatar) และมาร์ค แม็คแนร์ (Journey to the Center of the Earth)
ผู้ที่ทำงานเบื้องหลังร่วมกับร็อธคือทีมงานช่างฝีมือมากพรสวรรค์ ที่นำทีมโดยหัวหน้าแผนกต่างๆ ที่รวมถึงผู้กำกับภาพโรเจียร์ สตอฟเฟอร์ส (Death Wish, School of Rock), ผู้ออกแบบงานสร้าง จอน ฮัทแมน (Unbroken, It’s Complicated), ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ หลุยส์ มอริน (Beauty and the Beast, Arrival), มือลำดับภาพ เฟร็ด รัสกิน (แฟรนไชส์ Guardians of the Galaxy, Fast Five), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาร์ลิน สจวร์ต (แฟรนไชส์ Night at the Museum, The Fate of the Furious)
นอกจากนี้ The House with a Clock in Its Walls ยังเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างร็อธและนักประพันธ์ นาธาน บาร์ ผู้ซึ่งผู้กำกับได้รวมงานมาก่อนแล้วใน Cabin Fever, Hostel and Hostel: Part II, The Last Exorcism และซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Hemlock Grove ผู้บูรณะเวอร์ลิทเซอร์ ออร์แกนของฟ็อกซ์ขึ้นมาใหม่ ได้พิจารณาถึงออร์แกนสำหรับภาพยนตร์เงียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่ถูกใช้บันทึกดนตรีประกอบคลาสสิกตั้งแต่ใน Journey to the Center of the Earth และ Patton ไปจนถึง The Sound of Music ได้ใช้เครื่องดนตรีเหล่านี้เพื่อแต่งดนตรีประกอบ The House with a Clock in Its Walls… ทำให้มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในรอบ 25 ปีที่ใช้เครื่องดนตรีในตำนาน
แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์และรีลายแอนซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ The House with a Clock in Its Walls จัดจำหน่ายโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์ THE HOUSE WITH A CLOCK IN ITS WALLS
ติ๊กต่อก:
จดหมายจากแฟนที่เริ่มต้นทุกสิ่ง
เป็นเวลาซักพักแล้วที่ผู้อำนวยการสร้างแบรดลีย์ เจ. ฟิสเชอร์และเจมส์ แวนเดอร์บิลท์จากมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ต้องการจะร่วมงานกับมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างอีริค คริปเก้ ตัวผู้อำนวยการสร้างผู้นี้เคยสร้างซีรีส์ขวัญใจแฟนๆ ที่แพร่ภาพยาวนานอย่าง Supernatural เรื่องราวของสองพี่น้องผู้ต้องรับมือกับพลังพิเศษที่คาดไม่ถึง…และพรสวรรค์และคำสาปที่ตามมา ในทางกลับกัน ผู้อำนวยการสร้างของมิธโธโลจี้เองก็กระตือรือร้นที่จะได้ร่วมงานกับมือเขียนบทผู้นี้ในโปรเจ็กต์หนึ่งที่เขาหลงใหลที่สุด ในการนั้น พวกเขาพุ่งไปหาแหล่งข้อมูลที่เป็นแรงบันดาลใจของคริปเก้เมื่อตอนยังเด็ก หนังสือชื่อดังจากชุดหนังสือ 12 เล่มที่เป็นอมตะของจอห์น เบลแลร์สเรื่อง “The House with a Clock in Its Walls”
ในนิยายเล่มแรกในชุดนี้ของเบลแลร์ส เราได้พบกับลูอิส บาร์นาเวลท์ เด็กกำพร้าผู้ฉลาดเกินวัย ผู้อาศัยอยู่ในยุค 50s ผู้ที่ในตอนแรกเข้ากับเพื่อนฝูงหรือครอบครัวอุปถัมภ์เขาไม่ได้ ด้วยความโศกเศร้าจากการสูญเสียพ่อแม่ผู้จากไปอย่างกระทันหัน เด็กชายเนิร์ดผู้เก็บตัวก็ถูกดึงเข้าสู่โลกของพ่อมดและแม่มดอย่างฉุกละหุกพอๆ กับการที่พ่อแม่ถูกพรากจากเขาไปเลยเชียวล่ะ บัดนี้ เมื่อเขาได้มาอาศัยอยู่กับลุงโจนาธานของเขา ชายลึกลับผู้ทำตัวเป็นประโยชน์อย่างน่าสงสัยและ/หรือมีพรสวรรค์ที่พิลึกพิลั่น เขาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นลูกศิษย์ในโลกของศาสตร์ลี้ลับ
ผู้ควบคุมงานสร้างเทรซีย์ ไนเบิร์ก เล่าให้เราฟังถึงความเป็นมาของโปรเจ็กต์นี้ว่า “เล่มแรกถูกตีพิมพ์ในช่วงต้นยุค 70s และมันก็มีทั้งหมด 12 เล่ม เล่มสุดท้ายตีพิมพ์เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน สิ่งที่เรารักเกี่ยวกับ ‘The House with a Clock in Its Walls’ คือมันเป็นเรื่องราวคลาสสิก เรื่องของเด็กกำพร้าที่ถูกส่งตัวไปอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก ตลอดช่วงเวลาในหนังสือชุดนี้ เขาได้ค้นพบตัวเองและสิ่งที่ทำให้เขาไม่เหมือนคนอื่น”
เช่นเดียวกับเด็กๆ จำนวนมากในยุค 70s และผู้ที่ยังคงดื่มด่ำกับหนังสือของเบลแลร์สในปัจจุบัน คริปเก้หลงใหลในรูปแบบที่ตัวผู้เขียนพูดกับเด็กๆ รวมถึงภาพวาดกอธิคที่ชวนติดตามของเอ็ดเวิร์ด โกรีย์ ที่ทั้งน่าขำขันและน่าขนลุกพอๆ กัน “เราเป็นแฟนผลงานของอีริคมานานแล้ว และทุกอย่างก็เริ่มต้นจากความรักที่เขามีต่อหนังสือเรื่องนี้ค่ะ” ไนเบิร์กเล่า
“แบรดกับเจมีถามว่า ‘ถ้าผมสามารถสร้างหนังเรื่องไหนก็ได้ตามที่ผมต้องการ ผมจะเลือกเรื่องอะไร’ นะครับ” คริปเก้อธิบาย “สำหรับผม ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือหนังสือเรื่องนี้แหละครับ ผมหมกมุ่นกับการนำหนังสือเรื่องนี้สู่จอเงินมาทั้งชีวิต มันเป็นหนังสือสุดโปรดสมัยเด็กของผม ผมอ่านทุกอย่างที่จอห์น เบลแลร์สเขียน เขาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานของผมเป็นส่วนใหญ่ ผมเขียนจดหมายหาเขา ซึ่งเป็นจดหมายจากแฟนผลงานฉบับเดียวที่ผมเคยเขียน เขาเขียนตอบกลับผมมา และจนถึงวันนี้ ผมก็ยังเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในโต๊ะของผมเลยครับ”
สิ่งที่ทำให้ผู้อำนวยการสร้างฟิสเชอร์ชื่นชอบเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของลูอิสคือความเข้าถึงได้ของเด็กชายผู้พบว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนแปลกถิ่น ตัวผู้อำนวยการสร้างเองค้นพบมานานแล้วว่าเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดคือเรื่องราวที่จู่ๆ ตัวเอกก็ถูกจับไปอยู่ในโลกใหม่และต้องรับมือกับการตัดสินใจที่เป็นผู้ใหญ่มากๆ ฟิสเชอร์กล่าวสรุปว่า “โอเวนลงเอยด้วยการพบครอบครัวในที่ที่เขาคาดหวังน้อยที่สุด”
ในทางคล้ายคลึงกัน สิ่งที่ดึงดูดผู้อ่านเข้าสู่เรื่องราวการค้นหาความจริงของตัวคุณเองของเบลแลร์สนั้นคือลักษณะที่เขาเขียนอย่างจริงจังเกี่ยวกับการยกย่องที่มาของคุณ…และที่ที่โชคชะตาจะนำพาคุณไป ฉากของเรื่องราวนี้คือเมืองสมมติ นิว ซีบีดี้ ที่นำเค้าโครงมาจากเมืองมาร์แชล รัฐมิชิแกน เมืองเงียบๆ ที่มีต้นไม้เรียงเป็นแนวตามท้องถนน และมีบ้านที่ดูลึกลับมากมาย มันดูเหมือนโลกสมบูรณ์แบบที่จะเติบโตขึ้นมา แต่ความลับและปริศนาของเมืองแห่งนี้ที่ซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิวที่เรียบง่ายเปิดเผยตัวเองออกมาในแบบที่น่าตกตะลึง
เมื่อตอนเป็นนักเขียนหนุ่ม เบลแลร์สจะเดินผ่านบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งสูงตระหง่าน และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจสำหรับหนังสือชุดนี้ของเขา “จอห์นเห็นคุณค่าของความทรงจำที่เขามีต่อบ้านเกิดของเขาครับ” แบรด สตริคแลนด์ ผู้เขียนหนังสือของเบลแลร์สนับตั้งแต่เรื่อง “The Ghost in the Mirror” กล่าว
แม้ว่าฉากของเรื่องจะเป็นอเมริกายุค 50s แต่ตัวละครใน The House with a Clock in Its Walls อาศัยอยู่ในช่วงเวลาของตัวเอง โจนาธานหมกมุ่นกับเวทมนตร์ของเขาและบ้านของเขาก็เป็นเหมือนวิหารที่บูชายุคสมัยที่ล่วงผ่านไป ด้วยการแต่งกายในชุดที่ออกจะย้อนยุค ด้วยชุดงานเทศกาลและเสื้อคลุมพ่อมดของเขา เขาชื่นชอบการเป็นคนที่ประหลาดที่สุดในละแวกนั้น
ฟลอเรนซ์ ซิมเมอร์แมน เพื่อนบ้านและเพื่อนซี้ของเขา ก็ติดกับดักของกาลเวลาในช่วงที่เธอมีความสุขที่สุดเช่นกัน มันเป็นชีวิตในอุดมคติก่อนที่เธอจะประสบกับโศกนาฏกรรมที่ทำให้เธอใจสลายและเวทมนตร์ของเธอเสื่อมไป ในการบรรเทาความเจ็บปวด เธอห้อมล้อมตัวเองในโลกแห่งสีสัน…พร้อมด้วยของประดับสีม่วงและเสื้อผ้าสีมะเขือม่วง ทุกอย่างจะเป็นตามธีมนี้หมด
สำหรับฟิสเชอร์ สิ่งสำคัญคือการรวบรวมหุ้นส่วนในงานสร้างและผู้กำกับผู้สามารถสร้างเรื่องราวที่พิลึกพิลั่นแต่ก็เข้าถึงได้ของเบลแลร์สออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และคนเหล่านั้นก็คือแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ที่โด่งดังและผู้กำกับอีไล ร็อธ ผู้ชำนาญในเรื่องการทำให้ผู้ชมกลัว “แอมบลินเนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราวนี้ในแบบที่ไม่มีใครคนอื่นทำได้ ด้วยการสร้างมันภายใต้แบนนเนอร์เดียวกับหนังคลาสสิกของแอมบลินอย่าง The Goonies, Gremlins และ E.T. ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กที่โตขึ้นมาในย่านชานเมืองของนิวเจอร์ซีย์ในยุค 80s นั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำหนังครับ และอีไลก็เป็นตัวเลือกตามธรรมชาติสำหรับการกำกับหนังเรื่องนี้” ฟิสเชอร์เล่า “ผมอยากจะล้วงลึกเข้าไปในคลังของแอมบลินและหาวิธีที่จะบอกเล่าเรื่องราวแบบนั้นบนจอเงินอีกครั้งเสมอ อีไลมีแรงกระตุ้นและความหลังในวัยเด็กที่เหมือนๆ กันกับผม และตั้งแต่วินาทีที่เขาก้าวเข้ามา เราก็พบอย่างรวดเร็วว่าเราต่อประโยคของกันจบครับ”
ร็อธ ผู้สร้างอาชีพของเขาจากเรื่องราวสยองขวัญที่มืดหม่น ถูกดึงดูดเข้าหาเรื่องราว PG นี้ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน มันไม่ใช่เพียงแค่โอกาสในการสร้างภาพยนตร์ในแบบที่เขาฝันถึงเสมอ แต่มันยังเป็นโอกาสที่จะได้ร่วมมือกับแอมบลิน ผู้ซึ่งภาพยนตร์ของพวกเขามีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดต่อตัวเขาสมัยที่เขายังเป็นเด็กและเป็นผู้กำกับมือใหม่
ตัวผูกำกับแนะนำโลกใบนี้ให้เราฟังว่า “มีหลายอย่างที่ทำให้เรื่องราวนี้มีความรู้สึกแบบแอมบลิน และผมก็อยากจะออกมาสร้างหนังแอมบลินเยี่ยมๆ เรื่องใหม่ครับ ผมอยากให้ The House with a Clock in Its Walls อยู่เคียงข้าง Gremlins และ Back to the Future” เขาไม่กังวลถึงเรื่องการทำให้ผู้ชมที่อายุน้อยกว่าหวาดระแวงกับสิ่งที่พวกเขาจะเจอในยามค่ำคืน “ผมอยากให้หนังเรื่องนี้น่ากลัวมากๆ และผมก็คิดว่าคุณสามารถขำและกลัวได้ในเวลาเดียวกัน Gremlins และ E.T. ทำแบบนั้นครับ”
ทีมงานมิธโธโลจี้สนใจในการเลือกผู้กำกับที่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัยแต่พวกเขาเลือกคนที่เป็นความเสี่ยงแทน “อีไลโด่งดังจากแบ็คกราวน์หนังสยองขวัญของเขาและหนังส่วนใหญ่ของเขาก็เป็นแนวนั้นค่ะ” ไนเบิร์กตั้งข้อสังเกต “ความรักที่เขามีต่อหนังแนวนั้นปรากฏชัดเจน สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือเขานำความรักที่มีต่อหนังของเขา ทุกอย่างเลย มาสู่ Clock ค่ะ เขารู้จักหนังคลาสสิกและข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับหนังทุกอย่าง ทั้งที่ดังและไม่ค่อยดังนะคะ”
“อีไลกับผมรู้จักกันมาหลายปีแล้ว” ฟิสเชอร์อธิบาย “และผมก็รู้ว่ามันคงทำให้หลายคนประหลาดใจที่เราเลือกคนที่มีผลงานที่เต็มไปด้วยหนังน่ากลัวมากำกับหนังสำหรับครอบครัว แต่ผมก็รู้ด้วยว่าอีไลเติบโตมากับและได้แรงบันดาลใจจากหนังยุค 80s ของแอมบลินอย่าง E.T., The Goonies และ Gremlins และการรื้อฟื้นความรู้สึกของหนังคลาสสิกของแอมบลินสำหรับคนรุ่นใหม่ก็เป็นสิ่งที่เราทั้งคู่หาทางทำให้สำเร็จมาตลอดทั้งการทำงานของเราครับ”
“สำหรับผม มีคุณสมบัติหลักๆ สองประการที่เป็นคำนิยามของหนังแอมบลินคลาสสิก อย่างแรกคือความน่ากลัวของมัน มันไม่ได้น่ากลัวแบบทำให้สะดุ้ง แต่น่ากลัวในแบบที่จะติดตรึงอยู่ในใจคุณเพราะอันตรายและความเสี่ยงที่เด็กๆ พวกนี้ ที่คุณสามารถเข้าถึงได้ ได้เผชิญหน้าในตอนที่พวกเขาก้าวออกไปจากชีวิตประจำวันที่ปกติสุขเพื่อตอบรับเสียงเรียกร้องของการผจญภัย” ฟิสเชอร์กล่าวต่อ “และอย่างที่สองคือพวกมันดำเนินเรื่องจากมุมมองของเด็กธรรมดาที่ค้นพบบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับโลกของพวกเขาที่นำพวกเขาไปสู่การเดินทางสุดพิเศษและเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล ผมไม่สงสัยเลยว่าอีไลสามารถใช้องค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้ในแบบที่เป็นส่วนตัวอย่างวิเศษสุด ในแง่หนึ่ง House with a Clock เป็นหนังในแบบที่โชคชะตากำหนดมาให้เขาสร้างครับ”
สำหรับตัวผู้กำกับเอง ความสนใจตลอดชีวิตของเขาคือการสำรวจสิ่งที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ…รวมถึงลักษณะที่เรารับมือกับวิกฤติการณ์ด้วย เราจะลุกขึ้นสู้หรือเราจะล้มทรุดลง สำหรับเขา เรื่องราวหัวใจสลายและการเยียวยาของลูอิสเป็นแบบนั้น “คุณจะรับมือและทำใจกับโศกนาฏกรรมได้ยังไง” ร็อธถาม “นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น บางคนรับมือกับมันด้วยการก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่บางคนอยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นนะครับ”
ร็อธเล่าว่าความชื่นชอบที่เขามีต่อหนังสือชุดนี้ และภาพยนตร์ที่เขากำกับในท้ายที่สุด เริ่มต้นจากภาพหน้าปกของเบลแลร์ส “ผมมีความผูกพันแปลกๆ กับหนังสือชุดนี้ตรงที่ว่าผมสะสมภาพวาดของเอ็ดเวิร์ด โกรีย์ครับ ผมมีปกเก่าของเรื่องราวของจอห์น เบลแลร์สที่เขียนโดยแบรด สตริคแลนด์เรื่อง ‘The Hand of the Necromancer’ พอผมอ่านบทหนังเรื่องนี้แล้ว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีหนังสือที่มีภาพวาดของโกรีย์ที่ผมพลาดไปนะครับ”
ตัวผู้กำกับปรารถนาที่จะถ่ายทำ “ภาพยนตร์น่ากลัวสำหรับเด็ก” มาโดยตลอด เขาเล่าว่า “ผมอยากจะสร้างหนังที่ให้ความรู้สึกเหมือน Gremlins, E.T. หรือ Time Bandits หนังที่มหัศจรรย์และมีธีมฮัลโลวีน เรื่องราวนี้มีฟักทอง มีหุ่นกล มันมีส่วนผสมและองค์ประกอบมากมายในหนังสือเรื่องนี้และบทหนังเรื่องนี้ที่ผมรู้สึกผูกพันกับมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูอิส เด็กที่เป็นแกะดำคนนี้ ผมไม่ได้โตมากับการเป็นเด็กกำพร้า แต่ผมโตมากับการเป็นแกะดำและคนนอกครับ”
ร็อธเล่าว่า บางที แนวทางที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้รับอาจจจะมาจากผู้บริหารของแอมบลินเอง ชายผู้ชำนาญในการผสมผสานภาพยนตร์แนวต่างๆ เข้าด้วยกัน “ผมบอกสปีลเบิร์กถึงการที่ Poltergeist เป็นประสบการณ์ยิ่งใหญ่สำหรับผมสมัยเด็กและผมก็อยากจะสร้างความลุ้นระทึกแบบเดียวกันให้กับเด็กๆ รุ่นนี้ครับ เขาให้คำแนะนำที่น่าทึ่งกับผม เขาบอกว่า ‘อย่าออกแบบมันมากจนคนไม่สามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ และที่สำคัญที่สุด ทำให้มันน่ากลัว เด็กๆ ชอบที่จะกลัว’ นะครับ”
เลือกเวทมนตร์ของคุณ:
นักแสดงสำหรับการผจญภัย
สำหรับบท โจนาธาน บาร์นาเวลท์ สิ่งสำคัญสำหรับร็อธและผู้อำนวยการสร้างของเขาคือการหาคนที่จะมารับบทญาติผู้น่ากลัวในตอนแรก…ก่อนจะกลายเป็นลุงคนตลกที่ร่วมผจญภัยไปพร้อมกับคุณ “แจ็คมีคุณสมบัติทั้งหมดนั่น” ร็อธกล่าว “มันเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะนึกถึงคนอื่นนอกจากเขามารับบทนี้ ผมเคยดูเขาแสดงสดใน Tenacious D มาก่อน ผมเคยดูหนังทุกเรื่องของเขา พอคุณนึกถึงแจ็ค แล้วคุณก็จะหัวเราะออกมา เขามีคุณสมบัติโดดเด่น และเสน่ห์อย่างมาก และเขาก็ตลกมากๆ ด้วย
แต่นอกจากนั้น เขายังเป็นคนใจกว้างด้วย ในหนังของเขาอย่าง School of Rock หรือ Bernie เขาก็เป็นนักแสดงดรามาที่เหลือเชื่อ เขามีอารมณ์ขัน ชีวิตและความลึกซึ้งเหลือเกิน การได้เห็นเขาสร้างบทนี้เป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงครับ”
แบล็คนึกถึงตัวเองว่าเป็นคนหัวใจเด็กมาโดยตลอด และเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานของเขา เขาชื่นชอบความจริงทีว่าบทภาพยนตร์ของคริปเก้มีจิตวิญญาณแบบเบลแลร์ส แม้ว่ามันจะมีธีมมืดหม่นของความสูญเสียและโศกนาฏกรรม เรื่องราวนี้ก็นำเสนอบทเรียน ความตื่นเต้นและความสุขอย่างแท้จริง “นี่เป็นหนังที่เด็กทุกวัยสามารถสนุกกับมันได้” แบล็คเล่า “แต่เราก็อยากจะสร้างความลุ้นระทึกให้กับพวกเขา บางครั้ง คุณต้องไปสู่ความมืดหม่นบ้างเพื่อสร้างความลุ้นระทึกให้พวกเขา” เขาชื่นชมความลับที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวเป็นพิเศษ “พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านที่มีนาฬิกาแห่งหายนะตั้งอยู่ และพวกเขาก็จะต้องทำลายนาฬิกานั้นเพื่อกอบกู้โลกนะครับ”
หนึ่งในธีมหลักของ The House with a Clock in Its Walls คือการให้เกียรติอัตลักษณ์ของแต่ละคน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โจนาธานได้เล่นโน้ตบางเสียงด้วยแซ็กโซโฟนของเขา และมันก็จะเป็นตัวเปิดเวทมนตร์…ที่เป็นเวทมนตร์เฉพาะตัวของเขา เช่นเดียวกัน เวทมนตร์ที่เสื่อมสลายของฟลอเรนซ์ ซิมเมอร์แมนก็เป็นของเธอโดยเฉพาะ ในขณะที่ลูอิสก็ได้เรียนรู้พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ของถ้อยคำต่างๆ แบล็คเผยว่าองค์ประกอบนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ “การดึงเอาความพิลึกเฉพาะตัวของเราออกมาเป็นกุญแจที่นำไปสู่เวทมนตร์ของแต่ละคนครับ ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาซะเถอะ”
การเลือกเคท แบลนเชตต์ นักแสดงเจ้าของสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด มารับบท ฟลอเรนซ์ ซิมเมอร์แมน หนึ่งในแม่มดที่ทรงพลังที่สุดในโลก เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่สำหรับทีมผู้สร้าง แบลนเชตต์ ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานดรามา ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมด้วยฝีมือการแสดงตลกร้ายในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Thor: Ragnarok ร็อธเล่าว่า “ในตอนที่คุณถามว่า ‘ใครคือนักแสดงหญิงที่เก่งที่สุดในโลก’ คนก็จะตอบว่า ‘เคท แบลนเชตต์, เมอริล สตรีพ, จูดี้ เดนช์’ แบบนั้นเลยครับ ผมตื่นเต้นมากๆ เพราะผมไม่เคยเห็นเคทแสดงบทแบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกเหมือนว่าเธอสนุกกับบทบาทคลาสสิกอย่างแม่เลี้ยงใจร้ายใน Cinderella เธอเป็นคนช่างคิด และละเอียดรอบคอบ และเธอก็ตื่นเต้นที่ได้สร้างบทบาทที่เหลือเชื่อนี้ครับ”
นักแสดงหญิงเองชื่นชมสุนทรียศาสตร์ที่ผสมผสานความเป็นเลิศของร็อธ และเล่าว่าผู้กำกับเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เธอตัดสินใจร่วมงานนี้ “สิ่งที่ฉันรักเกี่ยวกับอีไลคือเขาไม่ได้มองเรื่องราวจากแค่มุมมองเดียว” แบลนเชตต์เล่า “เขามีรสนิยมที่หลากหลายอย่างเหลือเชื่อ และฉันก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้หลีกเลี่ยงอันตรายหรือความตื่นเต้น แต่เขาก็ยังสามารถนำความอบอุ่นมาสู่หนังเรื่องนี้ได้ด้วยค่ะ”
แบลนเชตต์เห็นพ้องกับเพื่อนร่วมงานของเธอเมื่อพูดถึงความชื่นชมที่เธอมีต่อธีมและอารมณ์ขันใน Clock ซึ่งถูกใจคนทั้งครอบครัว “มันเป็นหนังครอบครัว ในแบบที่ดีที่สุดค่ะ” เธอบอก “มันน่ากลัวจริงๆ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นในฐานะแม่คนและจับมือลูกของตัวเองไว้พร้อมกับพูดว่า ‘เราจะตื่นเต้นกับมันไปด้วยกัน’ ฉันผิดหวังเสมอตอนที่ฉันไปดูหนังสำหรับเด็กและรู้สึกว่ามุขพวกนั้นเป็นมุขสำหรับฉัน หนังเรื่องนี้เป็นการผจญภัยที่ซับซ้อน มืดหม่น บีบหัวใจ น่าขันและน่าประหลาดใจ และมันก็สะท้อนถึงหัวใจของนิยายเรื่องนี้ด้วยค่ะ”
แม้ว่าผู้ชมจะได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเหตุผลสำหรับ “เวทมนตร์ติดขัด” ของคุณนายซิมเมอร์แมน ในตอนที่ลูอิสได้พบกับตัวละครตัวนี้ สิ่งที่เขารู้มีเพียงว่าเธอทำเวทมนตร์ตัวเองพัง แบลนเชตต์ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานะของเธอว่า “เธอเป็นกำลังใจให้ลูอิสและโจนาธานตอบรับความท้าทาย ให้พวกเขายอมรับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา อย่างไรก็ดี เธอก็ต้องการกำลังใจจากพวกเขาที่จะทำแบบเดียวกัน สิ่งที่งดงามเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือไม่มีตัวละครตัวไหนที่สามารถรับมือกับปัญหาได้ด้วยตัวเอง พวกเขาต้องการกันและกันค่ะ”
แบล็คตื่นเต้นเกี่ยวกับการเลือกแบลนเชตต์มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ และเขาก็ยังคงรู้สึกชื่นชอบเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในกองถ่าย “ไอเดียของการได้ร่วมงานกับเคทเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและน่าหวั่นใจครับ” เขาเล่า “ผมบอกทุกคนที่ผมรู้จักว่าผมจะได้ร่วมงานในหนังของเคท แบลนเชตต์ ผมคิดว่าเธอเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดในโลก Blue Jasmine เป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาลเลยล่ะครับ”
เคมีระหว่างแบล็คและแบลนเชตต์น่าขบขันอย่างน่าประหลาดใจและแบลนเชตต์และแบล็คเองก็สนุกมากกับการปะทะคารมตามบทของคริปเก้ ผู้กำกับเล่าว่าการได้ดูพวกเขาทำให้เขานึกถึงฉากต่างๆ จากคอเมดีคลาสสิกเรื่องโปรดของเขา “ตอนที่ผมเห็นพวกเขา ผมก็คิดว่า ‘นี่คือเทรซีและเฮพเบิร์น เหมือนว่าเรากำลังสร้างคอเมดีตลกโปกฮาโดยโฮเวิร์ด ฮอว์คส์ และนี่คือ Girl Friday’ เลยล่ะครับ มีหลายตอนที่แจ็คและเคทกัดกัน ที่ทำให้ผมคิดว่า ‘เรากำลังสร้างหนังของเพรสตัน สเตอร์เจส/โฮเวิร์ด ฮอว์คส์อยู่’ นะครับ”
“โจนาธานกับฟลอเรนซ์มีความผูกพันกันมาเนิ่นนานผ่านทางความรักที่มีต่อเวทมนตร์ของพวกเขา” แบลนเชตต์กล่าวเสริม “แต่พวกเขาก็เคารพซึ่งกันและกันด้วย พวกเขาจิกกัด ทะเลาะกันเหมือนจอร์จและมาร์ธาจาก Who’s Afraid of Virginia Woolf แต่พวกเขาก็มีความรักที่ลึกซึ้งให้กันและกันด้วย พวกเขาเข้าใจจุดอ่อนของกันและกัน รวมถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาได้ประสบเป็นอย่างดี พวกเขามีความรักที่ยิ่งใหญ่ มากพอๆ กับที่พวกเขากัดกันนะคะ”
สำหรับบท ลูอิส บาร์นาเวลท์ เด็กชายผู้กระตือรือร้น ทีมงานค้นหาไปทั่วสำหรับเด็กชายที่สามารถผสมผสานอารมณ์ขันและความน่าเห็นใจได้ สำหรับร็อธ แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งสำหรับตัวละครตัวนี้เกิดจาก E.T.: The Extra-Terrestrial หนึ่งในภาพยนตร์แอมบลินเรื่องโปรดของเขา “ผมได้ยินสัมภาษณ์ที่สตีเวน สปีลเบิร์กพูดถึงเฮนรี โธมัสตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้องและเขาทำให้เขาร้องไห้เลย” ผู้กำกับเล่า
ร็อธรู้ว่าเขาจะไม่เลือกนักแสดงสำหรับบทลูอิสจนกว่าเขาจะสัมผัสประสบการณ์นั้นกับนักแสดงตัวน้อยเสียก่อน “สปีลเบิร์กรู้ว่าคนๆ นั้นคือเอลเลียต และเราก็อยากจะหาเด็กแบบนั้นสำหรับบทลูอิส เราต้องการหาคนที่มีความอ่อนไหวแบบนั้น คนที่เปราะบาง ตลกและเป็นคนนอกในแบบที่คุณสามารถให้กำลังใจและรักได้” พวกเขาค้นพบคุณสมบัติในตัวของนักแสดงเด็ก โอเวน วัคคาโร ผู้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจาก Daddy’s Home และ Mother’s Day “โอเวนเดินเข้ามาในห้อง และเขาก็คือเด็กคนนั้นครับ เขาคือลูอิส การแสดงของเขาแข็งแรงมาก เขาเป็นคนตลกและมีจังหวะการแสดงตลกที่ยอดเยี่ยมเป็นธรรมชาติครับ”
แบลนเชตต์เองก็ประทับใจกับความสามารถและอากัปกิริยาของโอเวนไม่แพ้กัน “เขาเป็นคนติดดินมากและยึดถือเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้จริงมากค่ะ” เธอชื่นชม “ฉันไม่เคยพบเด็กหรือนักแสดงคนไหน ที่มีคติการทำงานที่พิเศษสุดแบบนี้เลยค่ะ”
แบล็คเห็นด้วยกับนางเอกของเขา เขาเคยร่วมงานกับนักแสดงเด็กในภาพยนตร์หลายเรื่องของเขา และเขาก็ยอมรับว่าตัวเองทึ่งมากกับมิติในการแสดงของวัคคาโร “มันดูเหมือนเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับเด็กสิบขวบ แต่อีไลก็ยืนกรานที่จะเลือกโอเวน” แบล็คตั้งข้อสังเกต “ผมตระหนักได้ว่าเขาคิดถูกแล้ว ฉากพวกนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้เพราะความไร้เดียงสาและเวทมนตร์เยาว์วัยของเขา เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของเขาจริงๆ”
วัคคาโรจำได้ถึงวันหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเขาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการรับบทลูอิสผู้ชาญฉลาด และนั่นคือวันออดิชันของเขา เขาเล่าว่า “บทพูดประโยคหนึ่งของลูอิสคือ ‘ฉันชอบคำใหม่ๆ ฉันคิดว่าพวกมันสวยเลิศมาก’ ผมไม่รู้หรอกครับว่าคำนั้นหมายความว่ายังไง ดังนั้น พอถึงตอนทดสอบหน้ากล้อง อีไลก็ให้ลิสต์คำผมมาเพื่อให้ผมมาดูและทองจำ พวกเขาถามผมไม่หยุดเลย แต่มันมีแต่คำอย่างเช่น เกี่ยวกับจักรวาลวิทยา เกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยาและสิ่งสวยเลิศนะครับ” เขาหยุดนิ่งไป “ใช่ครับ ผมลืมพวกมันไปแล้วด้วย”
หนึ่งในฉากโปรดของเขาระหว่างการถ่ายทำคือตอนที่ลูอิสได้พบลุงโจนาธาน นักแสดงตัวน้อยเล่าว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดเกี่ยวกับฉากนั้นเลยคือ อย่างแรก มันมีมะเขือม่วงอยู่ทั่วไปหมด ผมชอบมะเขือม่วงเพราะมันหยุ่นๆ ดี แต่พวกเขาตกแต่งหน้าร้านทั้งหมดเพื่อให้ทุกอย่างดูเป็นยุค 50s ซึ่งเจ๋งมากๆ และรถเมล์ก็สนุกมากด้วย ตอนที่ลูอิสมาถึงนิวซีบีดี้ เขาสับสนกับทุกเรื่อง ผมจำได้ว่าตอนที่เราเดินเข้าไปในบ้าน ผมต้องทำตัวสับสนเกี่ยวกับนาฬิกาทุกเรือน เขาคิดว่าลุงโจนาธานเป็นคนค่อนข้างพิลึก เขาก็เลยทำตัวพิลึกกับเขาครับ”
วัคคาโรยอมรับว่าเขาทึ่งมากระหว่างช่วงเวลาที่เขาอยู่ในกองถ่าย โดยเฉพาะจากจำนวนของนาฬิกา “มีนาฬิกานกเขาทุกหนทุกแห่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมชอบมากครับ” เขาบอก “ผมคิดว่ามีหลายเรือนที่ชาร์มส์ คล็อก ช็อพให้เรามา ซึ่งพวกมันก็เยี่ยมมาก มันเป็นบ้านมหัศจรรย์ที่แปลกประหลาด เก้าอี้เลซีบอยเคลื่อนที่ได้ด้วยครับ! ถ้าคุณเคยดู Beauty and the Beast ก็อย่างนั้นเลย”
ไม่มีภาพยนตร์แอมบลินดีๆ เรื่องไหนจะสมบูรณ์ได้โดยปราศจากผู้ร้ายที่ชั่วช้าที่สุด และไคล์ แม็คลัคเลน นักแสดงผู้ได้รับการยกย่อง ก็ก้าวเข้ามารับบทไอแซ็ค อิซาร์ด พ่อมดผู้เพิ่งกลับมาจากหลุมศพ แบลนเชตต์ทึ่งกับการแปลงโฉมของแม็คลัคเลน “เราแทบจำเขาไม่ได้เลย…เขาทั้งน่ากลัวและน่าขนลุก” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่ก็ยอดเยี่ยมมากๆ ค่ะ”
ร็อธแสดงความเคารพต่อผู้กำกับคนดังที่นำแม็คลัคเลนมาสู่ดินแดนของเราระหว่างยุค Twin Peaks “เดวิด ลินช์เข้าใจดีถึงระดับความสามารถที่เหลือเชื่อของไคล์ เขาฉลาดมากๆ” เขากล่าวชื่นชม “คุณจะเชื่อเลยว่านี่คืออัจฉริยะผู้ชั่วร้าย ที่ขังตัวอยู่ในบ้านและสร้างนาฬิกาหายนะขึ้นมา ผมอยากได้คนที่จะมีอารมณ์ขันและความอบอุ่น แต่ก็สามารถทำตัวน่ากลัวได้ด้วย หลังจาก Twin Peaks เขาบอกว่า ‘ผมอ่านบทมาหลายเรื่อง แต่ไม่มีอะไรโดนใจผมเว้นแต่เรื่องนี้’ ผมอกว่า ‘มาสร้างบทที่โดดเด่นนี้สำหรับคุณกันเถอะ’ นะครับ”
แบล็คเห็นด้วยกับแบลนเชตต์และร็อธ พลางกล่าวเสริมว่า การที่แม็คลัคเลนดูเหมือนจะก้าวเข้าสู่บทนี้ได้อย่างง่ายดายทำให้เขายิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นอีก “ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนในฐานะวายร้ายตัวหลัก การแสดงของเขามาจากความนิ่งและการผ่อนคลาย มันน่าขนลุกครับ”
สำหรับบทเซเลนา อิซาร์ด ภรรยาที่ชั่วร้ายพอๆ กันของไอแซ็ค ผู้ที่รับบทนี้คือเรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี นักแสดงมากพรสวรรค์ เจ้าของรางวัลโทนีและแกรมมี อวอร์ด ผู้นำความคิดอ่านสุดแสนเจ้าเล่ห์มาสู่จอเงิน “ผมตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เรเนจาก Hamilton และ The Immortal Life of Henrietta Lacks มารับบทเซเลนา อิซาร์ดครับ” ร็อธกล่าวชื่นชม
สิ่งเดียวที่สามารถหยุดยั้งการกลับมาของสองสามีภรรยาอิซาร์ดได้คือกลุ่มสามสหาย…ผู้ต้องใช้เวทมนตร์ของพวกเขาในการกอบกู้โลก โกลด์สเบอร์รีเล่าให้เราฟังถึงบทบาทของตัวละครของเธอในเรื่องราวนี้ว่า “ทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการมาถึงของเด็กชายที่พิเศษสุดนี้ เขาปรากฏตัวขึ้นมาทันเวลาที่จะเปลี่ยนสมดุลในสงครามยิ่งใหญ่ระหว่างธรรมะและอธรรมพอดีเลย”
นักแสดงหญิงชื่นชอบการได้รับบทตัวละครที่ซับซ้อนแบบนี้…แม่มดที่ทำทุกอย่างเพื่อความรัก “ยุค 50s เป็นช่วงเวลาดีๆ สำหรับดนตรีและแฟชันเยี่ยมๆ…แต่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับผู้หญิงที่แต่งตัวมีสีสัน ฉันคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เซเลนาเลือกการเปลี่ยนร่างเป็นเวทมนตร์ของเธอ มันทำให้เธอได้เข้าถึงในสิ่งที่ผู้หญิงผิวสีไม่มี เซเลนาสามารถเป็นใครก็ได้ที่เธอต้องเป็นเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการนะคะ”
แบล็ค ผู้เป็นแฟนผลงานเธอมานาน สรุปถึงความรู้สึกของเพื่อนนักแสดงของเขา ตอนที่เขาคุยว่าโกลด์สเบอร์รีแสดงได้อย่างน่าหลงใหลแค่ไหน “ผมเคยไปบรอดเวย์กับลูกชายผมเพื่อดู School of Rock และ Hamilton เรเนมีเสน่ห์มากครับ เธอทำเอาผมอึ้งไปเลย เธอร้องเพลงเหมือนนางฟ้าและทรงพลังมากๆ ตอนที่ผมรู้ว่าเธอจะมาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย ผมตื่นเต้นสุดๆ เลย” นอกจากนั้น เขายังชื่นชอบความแปลกต่างในการเลือกบทบาทแสดงของเธออีกด้วย “ใน Hamilton เธอทั้งสวยและทรงพลัง…แต่ในหนังเรื่องนี้ เธอชั่วร้ายบริสุทธิ์เลยครับ”
นักแสดงกลุ่มสุดท้ายของเรื่องคือลอเรนซา อิซโซ ผู้รับบทแม่ของลูอิสในซีเควนซ์แฟลชแบ็ค รวมถึงเพื่อนที่โรงเรียนสองคนของลูอิส ผู้ที่มีนิสัยตรงข้ามกันสุดขั้ว วาเนสซา แอนน์ วิลเลียมส์ รับบท โรส เพื่อนเนิร์ดของลูอิส ผู้ยอมรับในตัวเขาอย่างที่เขาเป็น ในขณะที่ซันนี ซัลจิค รับบท ทาร์บี้ เด็กเจ๋งในโรงเรียนผู้ที่ลูอิอยากให้เขาประทับใจเหลือเกิน…จนทำให้เขาเต็มใจที่จะปลุกวิญญาณคนตายด้วยความบังเอิญ
อิซโซเล่าถึงพลังของเรื่องราวนี้ว่า “มันมีธีมสามธีมใหญ่ๆ ในเรื่องราวนี้ที่ทำให้มันเข้าถึงได้และเต็มไปด้วยรายละเอียด ครอบครัวเป็นธีมสำคัญในหนังสือและหนังเรื่องนี้ มันมีธีมใหญ่ของความสูญเสีย และน่าเศร้าแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราอยากจะรับรู้เสียอีก อย่างที่สาม มันมีพลังเวทมนตร์ มีเหตุผลที่เรื่องราวพวกนี้รวมเอาองค์ประกอบเหล่านี้เข้าไป เมื่อคุณผสมผสานครอบครัว ความสูญเสียและเวทมนตร์เข้าด้วยกัน มันก็เป็นธีมสามธีมที่งดงาม ที่ทำให้เรื่องราวมีรายละเอียดและน่าสนใจที่จะติดตามดูค่ะ แน่นอนว่ามันทำให้ฉันอยากจะเห็น”
ห้องลับและผนังกำมะหยี่:
การออกแบบและงานกล้อง
แน่นอนว่าฉากสำคัญของ The House with a Clock in Its Walls คือคฤหาสน์ที่มีความลับมืดหม่น ช็อคโลก แต่ตัวเมืองนิวซีบีดี้ในยุค 50s ก็ต้องถูกสร้างขึ้นในเมืองนิวแนน รัฐจอร์เจีย ตั้งแต่ร้านขนมหวานไปจนถึงบ้านสีม่วงของคุณนายซิมเมอร์แมน ทีมผู้สร้างรู้สึกยินดีที่ได้พบลุคตามที่พวกเขามองหาในเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้แห่งนี้
แรงบันดาลใจของร็อธในกาสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาร่วมกับผู้ออกแบบงานสร้างจอน ฮูทแมนเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะมันคือภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโน ที่เขาแสดง ผู้กำกับอธิบายว่า “การแสดงใน Inglorious Basterds เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่สนุกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิต ผมได้อาศัยอยู่ในโลกยุค 40s และได้อยู่ในยุโรปครับ”
ไม่เพียงแต่ทศวรรษนั้นเท่านั้น…แต่ยังเป็นทศวรรษหลังจากนั้นด้วย ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของแฟรนไชส์ Back to the Future โดยแอมบลิน และของยุค 50s โดยทั่วๆ ไป ร็อธกระตือรือร้นเป็นพิเศษกับการสำรวจแบบดีไซน์ของเมืองนิวซีบีดี้ “ผมชอบจัตุรัสเมืองจากในหนัง ผมชอบ ‘Save the Clock Tower’ พอเราไปถึงนิวแนน เราทุกคนต่างก็คิดว่า ‘พระเจ้า นี่เหมือนจัตุรัสของเมืองใน Back to the Future เลย’ นะครับ”
ร็อธและฮูทแมนสนใจยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองมานานแล้ว ด้วยความหลงใหลในช่วงเวลาเงียบสงบในตอนที่ทั้งประเทศกำลังเริ่มฟื้นตัวและเยียวยาตัวเองจากสงคราม พวกเขาชื่นชอบผลประโยชน์ที่ส่งผลต่อดนตรี วัฒนธรรม เทคโนโลยี ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดและเทคนิคคัลเลอร์
แน่นอน ภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องว่า The House with a Clock in Its Walls จะต้องมีดารา เอ่อ หรือบ้านนะแหละ “เราอยากให้มันดูสวยงาม สง่า แต่บ้านก็เป็นตัวละครเหมือนกัน” ผู้กำกับกล่าวสรุป “ในขณะเดียวกนั เราก็ต้องเปิดโลกใบใหม่ทั้งใบขึ้นมาในเมืองนิวซีบีดี้” ในการถ่ายทำในย่านดาวน์ทาวน์ของนิวแนน ที่อยู่นอกแอตแลนต้าไปประมาณ 30 นาที เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีลุคตามแบบที่นักออกแบบฮูทแมนต้องการ ซึ่งรวมถึงอาคารบ้านเรือนช่วงเปลี่ยนทศวรรษ ที่คล้ายกับในมิชิแกน
ร็อธและฮูทแมนเคยร่วมงานกันมาก่อนหน้า The House with a Clock in Its Walls แม้จะในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันก็ตาม “ปรากฏว่าผมเคยร่วมงานกับอีไลประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมาในหนังเรื่อง Quiz Show ที่ผมเป็นผู้ออกแบบงานสร้าง” ผู้ออกแบบงานสร้างเล่า “ส่วนอีไลเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งครับ” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ดังนั้น พวกเราคนหนึ่งก็มีหน้าที่การงานที่พุ่งแรงเลยนับตั้งแต่นั้นมา!”
ฮูทแมนพบว่าร็อธเป็นคู่หูที่ช่างคิด ผู้มองการออกแบบภาพยนตร์ในแบบเดียวกับตัวเขา “สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับอีไลคือเขาเป็นลูกผสมระหว่างผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง มือเขียนบทและนักแสดง ผมพบว่าเขาติดใจกับความรู้สึกที่หนังควรจะเป็น” ฮูทแมนกล่าว “ผมเชื่อเสมอว่าในหนังเรื่องไหนๆ ก็ตาม หน้าที่ของผมคือการสร้างโลกของหนังเรื่องนั้นๆ ให้มีลุคแบบเดียวกับที่มันให้ความรู้สึกต่อตัวละคร” เขาหยุด “ผมเป็นคนที่ชื่นชอบบ้านครับ ดังนั้น โอกาสในการได้ออกแบบบ้านหลังไหนๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บ้านผีสิง ก็เป็นเรื่องที่ผมอยากทำให้ได้ก่อนตายจริงๆ ครับ ผมมีโอกาสได้ทำมันจากมุมมองของเด็กครับ”
สำหรับลุควิชวลของ The House with a Clock in Its Walls การตัดสินใจของร็อธในการเลือกผู้กำกับภาพชาวดัทช์ โรเจียร์ สตอฟเฟอร์ส ผู้ซึ่งผลงานที่น่าหลงใหลของเขามีตั้งแต่ Mongol: The Rise of Genghis Khan ไปจนถึงการร่วมมือกับแบล็คก่อนหน้านี้ใน School of Rock เข้าคู่กันได้ดีกับการออกแบบของฮูทแมน “โรเจียร์กับผมเคยร่วมงานกันมาก่อนใน Death Wish และมันก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจนเราอยากจะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง” ร็อธเล่า “หนังเรื่องนี้ทำให้เรามีโอกาสได้ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองทางภาษาวิชวล ในแบบที่เป็นไปไม่ได้ในทริลเลอร์ล้างแค้น เราอยากได้สิ่งที่วุ่นวาย สร้างสรรค์และงดงามครับ”
ทีมนักแสดงของพวกเขาต่างก็รู้สึกถึงความใส่ใจในรายละเอียดที่ทีมผู้สร้างมีต่อการทำให้นิวแนนเป็นโลเกชันใหม่ที่ลึกลับของพวกเขา “สิ่งที่ฉันชื่นชอบเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้” แบลนเชตต์เล่า “รวมถึงวิธีการสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือคุณจะรู้สึกเหมือนว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ตรงนี้ ตอนนี้ แต่มันก็กำลังเกิดขึ้นในเมืองนิวซีบีดี้เล็กๆ แห่งนี้ มันเป็นเมืองที่เวลาลืมเลือนไป เป็นเมืองย้อนอดีต คุณจะได้เห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจพวกนี้ แต่พวกมันจะถูกมองผ่านปริซึมความมหัศจรรย์ นิวแนนเป็นเมืองมหัศจรรย์ที่มีบ้านเหลือเชื่อพวกนี้ ที่เราใช้ถ่ายทำฉากภายนอก การได้อยู่ในเมืองแห่งนั้นตอนกลางคืน ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ใกล้ชิดกับประสบการณ์ของการได้อยู่ในหนังเรื่องนั้นจริงๆ ครับ”
แบลนเชตต์เล่าถึงบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาในกองถ่าย พลางให้ความเห็นว่ามันช่วยดึงความเป็นเด็กในตัวเธอออกมา “มันน่าสะพรึงกลัว วิเศษสุด แต่ก็เป็นบ้านที่มีความเป็นมนุษย์มากๆ ที่ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างมาก วอลล์เปเปอร์ บันได หน้าต่างกระจกสเตนกลาสที่เคลื่อนไหวได้ นาฬิกานกเขาที่แปลกประหลาดทุกเรือนและหัวสัตว์สตาฟฟ์พวกนั้น คุณสามารถเล่นกับทุกอย่างได้ และของตกแต่งฉากก็น่าขนลุกแต่ก็น่าอัศจรรย์ใจสุดๆ ค่ะ” สิ่งที่เธอชื่นชอบนะหรือ? “กริฟฟินที่อึได้นะสิคะ! ทุกครั้งที่เราก้าวเข้าไปในส่วนใหม่ๆ ของฉาก ฉันจะเป็นเหมือนเด็กในดิสนีย์แลนด์เลยล่ะค่ะ”
ฮูทแมนและร็อธรู้สึกว่า โทนเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมากๆ…ไม่ใช่เพียงแต่ในด้านการออกแบบเท่านั้น แต่ยังเป็นในความน่ากลัวด้วย ด้วยความที่ลูอิสย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่หลังจากที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต มันจะแค่น่าขนลุกไม่ได้ แต่องค์ประกอบต่างๆ เกี่ยวกับบ้านจะต้องอบอุ่นและเชื้อเชิญด้วย มีบางสิ่งที่แปลกพิกลและชวนสงสัยในตอนแรก…แต่มันกลับอบอุ่น อวลรักและเชิญชวน
อย่างไรก็ดี ร็อธไม่ต้องการให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในบ้าน “เราอยากให้หนังเรื่องนี้มีห้องลับ มีปริศนา นาฬิกาและความแปลกประหลาด จนทำให้คุณรู้สึกเสมอว่า มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวและมองคุณอยู่” เขากล่าว “มันมีความรู้สึกแบบเขาวงกตมหัศจรรย์ ม่านหนาหนัก วอลล์เปเปอร์กำมะหยี่ โคมไฟระย้า การที่แสงสว่างมาจากแสงเทียน ผมอยากให้มันรู้สึกเหมือนว่าคุณก้าวเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งนะครับ”
สำหรับตัวผู้กำกับ ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงด้วยผู้ออกแบบงานสร้างผู้ชาญฉลาดและทีมงานของเขา “จอนเป็นอัจฉริยะครับ เขาทำงานในหนังของแนนซี ไมเออร์ส และผมก็อยากจะนำรายละเอียดระดับนั้นมาสู่หนังเรื่องนี้ เราอยากให้มันมีภาพวิชวลที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและมีสไตล์มากที่สุด แต่ทุกอย่างก็เป็นเรื่องของตัวละคร ถ้าแบบดีไซน์สร้างกำแพงกั้นระหว่างคุณและตัวละคร มันก็จะเป็นการที่คุณออกแบบมากไป ลองดู E.T., Gremlins และ Raiders of the Lost Ark ดูสิครับ ทุกอย่างจะดึงดูดคุณเข้าสู่หนังเรื่องนั้นๆ”
ฟลอเรนซ์ ผู้อยู่บ้านหลังถัดไปจากลูอิสและโจนาธาน ก็มีบ้านที่น่าขันของตัวเองเช่นกัน ฮูทแมนอธิบายโลกใบนั้นว่า “เธออาศัยอยู่ในบ้านสีม่วง ที่อยู่ติดกับโจนาธาน และเธอก็สวมแต่ชุดสีม่วง เธอติดอยู่ในยุค 20s ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มันก็เลยเป็นสถานที่เหมือนไทม์แคปซูลที่เธอเก็บรักษาความทรงจำตัวเองเอาไว้ การมีสีม่วงบนสีม่วงบนสีม่วงอีกทีเป็นเรื่องท้าทาย ปรากฏว่ามันมีสีม่วงเฉดต่างๆ มากมายเลย…ตั้งแต่ม่วงแดงหรือม่วงออกชมพูไปจนถึงม่วงออกฟ้า มันเป็นฉากที่สวยสุดๆ ครับ!”
อีกโลเกชันสำคัญใน The House with a Clock in Its Walls คือคฤหาสน์แคนด์เลอร์ ที่เป็นของครอบครัวแคนด์เลอร์ที่มีชื่อเสียงในแอตแลนตา มันกลายเป็นฉากสำหรับห้องกระจกของโจนาธาน “นี่เป็นคฤหาสน์ของครอบครัวโคคา-โคลาครับ” ร็อธอธิบาย “มันถูกสร้างขึ้นในยุค 20s และมันก็ถูกปล่อยปละละเลยไว้ มันถูกปิดเอาไว้มานานแล้ว มีหนังไม่กี่เรื่องหรอกครับที่เคยถ่ายทำที่นั่น เราได้ใส่หุ่นกลไกเข้าไปในห้องกระจกนี้ ทำให้มันน่าขนลุกมากๆ เลยครับ”
สมาชิกทีมนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดมีประสบการณ์น่าตื่นเต้นที่คฤหาสน์แคนด์เลอร์ ซึ่งเหมาะกับจิตวิญญาณและธีมของการถ่ายทำจริงๆ “พอเราเดินเข้าไป เราก็ใช้ไฟฉายจากมือถือส่องเอา” วัคคาโรเล่า “เรามองเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง แล้วตรงนั้นก็มีสีสเปรย์สีเหลืองพ่นคำว่า ‘อัฐิอยู่ที่ไหน’ ผมสาบานได้เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ถึงตอนนี้ผมก็ยังขนลุกเลยครับ แค่นึกถึงมันก็ทำให้ผมกลัวแล้ว ผมร้องโวยวายดังลั่นแล้ววิ่งหนีเลยล่ะครับ!”
หุ่นกลไกและการตบตา:
เวทมนตร์ของการถ่ายทำ
ตั้งแต่ฟักทองอ้วกได้และเก้าอี้โยกที่เคลื่อนไหวได้ไปจนถึงหุ่นกลไกที่น่าขนลุกและเครื่องดนตรีที่เล่นได้ด้วยตัวเอง เวทมนตร์ใน The House with a Clock in Its Walls เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน น่ายินดีและน่ากลัว ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การดูแลของซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ หลุยส์ มอริน ผู้เนรมิตชีวิตให้กับ Beauty and the Beast อย่างหรูหราเมื่อหลายปีก่อน
ร็อธเล่าถึงหนึ่งในฉากโปรดของเขาว่า “การได้ดูแจ็ค แบล็คโดนโปะหน้าด้วยฟักทองเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดในอาชีพของผมเลยครับ ผมไม่เคยมีความสุขแบบนี้เลย”
แบลนเชตต์จดจำวันนั้นได้ดีทีเดียว “หนึ่งในประสบการณ์ที่น่าขยะแขยงและวิเศษที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาในฐานะนักแสดงอาจจะเป็นการพ่นฟักทองออกมานี่แหละค่ะ”
อย่างไรก็ดี วันถ่ายทำวันโปรดของเธอ และหนึ่งในช่วงเวลาที่น่ากลัวอย่างแท้จริงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นอย่างที่แบลนเชตต์พูดว่า “การจู่โจมของหุ่นกลไก” นักแสดงหญิงเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า “สปีลเบิร์กปลดปล่อยตัวตลกให้โลดแล่นอยู่ในจิตใต้สำนึกแบบเด็กๆ ของฉัน ซึ่งฉันคิดว่าฉันไม่มีวันสลัดมันพ้น หุ่นกลไกได้นำช่วงเวลาที่น่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวของตุ๊กตาที่ดูทั้งน่ารักและน่ากลัวในขณะเดียวกัน การถ่ายทำฉากนี้น่ากลัวค่ะ ด้วยการที่อีไลอยู่ด้านหลังเลนส์ ฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่ดูแล้วน่ากลัวอย่างน่าตื่นเต้นนะคะ”
ผู้ควบคุมงานสร้างไนเบิร์กกล่าวถึงความแปลกประหลาดด้านกลไกว่า “ซีเควนซ์หุ่นกลไกได้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ของนักมายากลยุคเก่า มันมีกลที่โด่งดังสองสามกล เช่นกลการเขียนบนธนบัตร กลต้นส้ม เราคิดว่ามันเป็นโอกาสดีเยี่ยมในการนำสิ่งของจริงๆ มาเสริมเวทมนตร์ในแบบของเรานิดๆ แล้วทำให้มันโลดแล่นมีชีวิตขึ้นมา ท้ายที่สุด พอไอแซ็คกลับมาและบ้านเริ่มเปลี่ยนเป็นชั่วร้าย สิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ และแนวทางที่ทำให้มันชั่วร้าย ก็เป็นเรื่องสนุกค่ะ”
หุ่นกลบางตัวถูกยืมมาจากคอลเล็กชันส่วนตัวของสปีลเบิร์ก แบล็คให้ความเห็นเล็กน้อยว่า “หุ่นกลพวกนี้เกิดจากงานฝีมือที่น่าทึ่ง พวกมันบางตัวเป็นของเก่าแก่ สปีลเบิร์กให้เรายืมหุ่นพวกนี้จากคอลเล็กชันส่วนตัวของเขา และพวกมันก็น่าขนลุกสุดๆ เลย เขาเก็บพวกมันไว้ในห้องเก็บของ แต่เขาก็ให้เรายืมสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ”
หุ่นกลพวกนี้ไม่ใช่ของเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกิดการตบตาขึ้น ตัวแบล็คเองรับบทพ่อมด ดังนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่จะต้องเรียนรู้ความคล่องแคล่วสำหรับบทนี้ “มันอยู่ที่ความคล่องของนิ้วและมือครับ ผมได้เรียนรู้จากปรมาจารย์ เดวิด กวงครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าว
เลิฟคราฟท์พบนิวฮาร์ท:
เครื่องแต่งกายของ Clock
มาร์ลิน สจวร์ต ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคนดังรับหน้าที่สร้างเครื่องแต่งกายต่างๆ ของตัวละครใน The House with a Clock in Its Walls ตั้งแต่ชุดคลุมของโจนาธานและหมวกตุรกี ไปจนถึงชุดที่สีม่วงล้วนของฟลอเรนซ์ นี่เป็นโลกของเวทมนตร์ ดรามาและความน่าขบขัน สำหรับสจวร์ต มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเสมอไปที่ชุดจะต้องเข้าคู่กับยุคสมัย “แม้ว่าเรื่องราวนี้จะเกิดขึ้นในยุค 50s แต่เครื่องแต่งกายของตัวละครก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตัวแทนของยุคนั้นเสมอไป” เธออธิบาย “ตัวละครทั้งหมดของเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกความเป็นจริงของตัวเอง มันเป็นความสมจริงที่มหัศจรรย์ค่ะ”
เช่นเดียวกับที่ฮูทแมนรู้สึกกับที่พำนักของคุณนายซิมเมอร์แมน สจวร์ตก็พบว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเชิงงานสร้างสรรค์สำหรับชุดของฟลอเรนซ์คือความสามารถในการใช้สีม่วงเฉดต่างๆ ได้ เธอได้สร้างชุดที่สะท้อนถึงคนที่เป็นคนชั้นสูงและเข้าใจโลก ด้วยการผสมผสานเนื้อผ้าและเท็กซ์เจอร์เข้าด้วยัน
ถึงกระนั้น สิ่งสำคัญสำหรับทั้งนักออกแบบและนักแสดงหญิงก็คือตัวละครจะต้องไม่ถูกทำให้กลายเป็นการ์ตูนล้อเลียน “เคทอยากให้มันอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงค่ะ” สจวร์ตกล่าว “มันเป็นการศึกษาวิธีพยายามหาสีสันและเนื้อผ้าที่แตกต่างกัน พวกผ้าทวี้ด ผ้าไหมและผ้าพิมพ์ ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งก็คือการคำนึงถึงแบ็คกราวน์ จอนเป็นผู้ออกแบบงานสร้างที่น่าทึ่ง เราต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะเข้าคู่กับแบ็คกราวน์ได้ดี ดังนั้น สีม่วงที่เขาใช้ในการออกแบบไม่ได้ตัดกับสีม่วงในเสื้อผ้าของเรา”
สจวร์ตใช้เวลานานในการร่วมมือกับแบลนเชตต์เรื่องเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของเธอ “เราไม่รู้ว่าฟลอเรนซ์เกิดที่ไหนกันแน่” นักออกแบบหญิงกล่าว “เรารู้ว่าเธอเคยอาศัยอยู่ในปารีสแต่เธอก็ได้รับอิทธิพลจากยุโรปตะวันออกมา เราก็เลยใช้คริสตัลเช็กโกสลาเกียและเครื่องเพชรหลายชิ้นของเธอก็มีเงินและทอง พร้อมด้วยเม็ดคริสตัลเช็กโกสโลวาเกียด้านใน มันเข้าคู่กับร่มเธอได้ ตอนที่เราเริ่มลงมือวาดภาพกัน ฉันมีพลอยอะมีทิสต์พวกนี้และได้ร่วมงานกับแบรด ไอน์ฮอร์น ผู้สร้างอุปกรณ์ประกอบฉาก ในการสร้างลุคที่มาควบคู่กันค่ะ”
การแปลงโฉมเป็นฟลอเรนซ์ทำให้แบลนเชตต์ต้องสวมวิกสีเทา เสื้อผ้าสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า และท่าทีที่แข็งทื่อ ร็อธชื่นชมความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองของเธอ “ผมคิดว่าไม่มีนักแสดงคนไหนเหมือนอย่างเคท ตั้งแต่ปีเตอร์ เซลเลอร์ส ที่สามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคนหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง โดยที่เราจำไม่ได้เลย เธอแค่เปลี่ยนแปลงเสียงและลักษณะภายนอกของตัวเองครับ”
ในการเปลี่ยนแบล็คให้กลายเป็นโจนาธาน สจวร์ตเริ่มต้นด้วยแบบดีไซน์อ้างอิงที่สามารถผสมผสานแบ็คกราวน์นักมายากลและนักดนตรีของนักแสดงหนุ่มเข้าด้วยกัน เธอกล่าวว่า “สำหรับลุคของโจนาธาน ฉันใช้ภาพวิชวลของโมดิกเลียนีมาโชว์อีไล เขาสวมเสื้อกั๊กและกางเกงเอวสูง นี่เป็นลุคที่เห็นกันบ่อยในช่วงเปลี่ยนศตวรรษหรือปลายยุค 1890s นอกจากนั้น มันยังมีการอ้างอิงถึงการที่คุณนายซิมเมอร์แมนตัวสูงเพรียวมากๆ และโจนาธานจะเป็นคนรูปร่างท้วมและกระเซอะกระเซิงกว่าค่ะ”
ในบทสนทนาระหว่างสจวร์ตและแบล็ค พวกเขาคุยกันถึงการที่ชุดของเขาไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชุดเพื่อการแสดง แต่เป็นชุดที่คนจริงๆ จะใส่กัน เธอเน้นถึงเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งเป็นพิเศษ “แจ็คเก็ตที่เขาสวมเป็นแจ็คเก็ตของวิศวกรรถไฟจากยุค 20s ปัจจุบันนี้ ศิลปินหรือนักดนตรีคนไหนๆ ก็ตามอาจจะสวมเสื้อผ้าวินเทจและจับมันมาผสมผสานก็ได้ พวกมันไม่ได้ดูเหมือนเป็นแฟชันยอดนิยม แต่มันเป็นรูปแบบส่วนตัวมากกว่าค่ะ”
สจวร์ตใช้ความอุตสาหะในการสร้างลุค “เรียบร้อย” ให้กับ ลูอิส ตัวละครของวัคคาโร เธอเล่าว่า “ในการค้นคว้าของฉัน ฉันพบภาพที่ดูเหมือนทรูแมน คาโพเต้วัยเด็กนิดหน่อย เขาสวมแว่นตา มีกระเป๋าเสื้อทรงเหลี่ยมและมีเสื้อเชิ้ตติดกระดุมพร้อมด้วยหูกระต่าย ฉันจำได้ว่าในบทเขียนไว้ว่า เขาทำให้เรานึกถึงบ็อบ นิวฮาร์ท! เขาโตเกินวัยหน่อยๆ นะคะ”
“ตอนที่คุณได้ยินเขาพูด คุณจะตระหนักว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย เขามีคลังศัพท์แบบก้าวหน้าและดูเหมือนจะมีความสามารถไร้ที่สิ้นสุดในการเรียนเวทมนตร์ได้เร็วมากๆ เขาฉลาด อยากรู้อยากเห็น และมีความเป็นผู้ใหญ่มากๆ แตกต่างจากโจนาธาน เขากังวลเรื่องรูปลักษณ์ของเขาและเขาก็หาวิธีที่จะถ่ายทอดเวทมนตร์ของตัวเองออกมา ในหนังเรื่องนี้ เขาสวมเสื้อสเว็ตเตอร์วินเทจยุค 40s ที่กลายเป็นสเว็ตเตอร์เวทมนตร์ของเขา แล้วเขาก็สวมหมวกทรงกลม ซึ่งเป็นหมวกเวทมนตร์ของเขาค่ะ”
วัคคาโรชื่นชอบที่ว่าเขามีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นสำหรับแบบดีไซน์ด้วย “ลูอิสในทุกฉากเว้นแต่ฉากเข้านอนจะติดหูกระต่าย ติดกระดุมทุกเม็ด มีเสื้อนอกและสเว็ตเตอร์ครับ” เขาบอก “เขามีรองเท้าเจ๋งๆ และกางเกงลูกฟูก นอกจากนั้น เขายังติดกระดุมแขนเสื้อ ซึ่งผมไม่ค่อยจะทำด้วย ปกติผมจะพับแขนเสื้อขึ้นเลย แต่ผมคิดว่านั่นเป็นปี 1954 และตอนนี้เป็นปี 2018 มันเป็นความแตกต่างด้านเวลาอย่างมากครับ”
ในการค้นหาความเป็นมาสำหรับไอแซ็ค ซึ่งจะช่วยกำหนดเครื่องแต่งกายของแม็คลัคเลน มาร์ลินได้รับแรงบันดาลใจจากนักเขียนที่เป็นที่รักอีกคนหนึ่ง เธออธิบายว่า “ฉันได้พบข้อมูลอ้างอิงสำหรับเอชพี เลิฟคราฟท์ และฉันก็โชว์ลุคนั้นให้อีไลดู เขาเป็นนักเขียนเรื่องสยองขวัญชื่อดัง ที่โด่งดังถึงขีดสุดในยุค 20s ฉันเสนอลุคที่เขาสวมเสื้อสูททางการติดกระดุมสามเม็ด ที่มีคอเสื้อสูงและไทสีเข้ม ซึ่งน่าจะเหมาะกับยุคนั้นออกไปค่ะ”
มันเป็นลุคที่จริงจังมากๆ และชั่วร้ายนิดๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างรูปร่างที่แตกต่างจากตัวละครอื่นๆ ด้วย เมื่อคำนึงถึงปฏิสัมพันธ์ที่ผู้ชมมีต่อตัวละครตัวนี้ นักออกแบบหญิงก็บอกว่า “ตอนที่เราได้เห็นตัวละครตัวนี้ เราอาจจะสับสนนิดๆ เรารู้ว่ามีบางสิ่งที่ลึกลับและมืดหม่นเกี่ยวกับตัวเขา พอเราเดินเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เราก็พบว่าเขามีอดีตที่ทุกข์ตรม จริงๆ แล้ว เขาค่อนข้างจะเป็นคนใจบุญทีเดียวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง”
สำหรับเซเลนาผู้ชั่วร้าย สจร์ตอยากได้สีสันที่ไม่เหมือนใครเพื่อทำให้เธอโดดเด่นขึ้นมา “ด้วยความที่คุณนายซิมเมอร์แมนอยู่ในโลกลี้ลับที่เต็มไปด้วยสีม่วงโทนต่างๆ ฉันก็เลยอยากให้เซเลนาเป็นตรงกันข้าม ฉันคิดว่า ‘ไปตรงข้ามของวงกลมสีเลยดีกว่า เราเลือกสีเขียวเข้มก็แล้วกัน’ นะคะ”
****
หลังจากปิดกล้องแล้ว ร็อธก็เล่าว่าเขาได้ปฏิบัติภารกิจในการสร้างภาพยนตร์แอมบลินที่ “เหมาะสม” สำเร็จแล้ว”นี่เป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัวของแท้ และเป็นหนังสำหรับเด็กๆ และครอบครัวด้วย” เขากล่าวสรุป “พวกเขาจะเจอกับเรื่องน่ากลัว เรื่องน่าตื่นเต้นและเสียงหัวเราะ แต่บางสิ่งในหนังจะทำให้พวกเขาพูดว่า ‘ฉันอดใจรอภาคต่อไปไม่ไหวแล้ว’” เขาตื่นเต้นแทนแฟนๆ ที่จะได้เห็นผลงานแห่งรักเรื่องนี้ที่เป็นการผจญภัยสุดสนุกและมหัศจรรย์ “บ้านผีสิง คนโรคจิตพร้อมขวานที่ฟาดฟันกำแพง เด็กเล็กๆ ที่ถือไฟฉายส่องไปมา และหุ่นกลน่าขนลุก ผมไม่อยากให้มันจบลงเลยครับ”
****
แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์และรีลายแอนซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์: แจ็ค แบล็ค, เคท แบลนเชตต์ใน The House with a Clock in Its Walls นำแสดงโดยโอเวน วัคคาโร, เรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี, ซันนี ซัลจิคและไคล์ แม็คลัคเลน ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของการผจญภัยสุดหลอนเรื่องนี้คือหลุยส์ มอรินและดนตรีโดยนาธาน บาร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือมาร์ลิน สจวร์ต ลำดับภาพโดยเฟร็ด รัสคิน, เอซีอี ผู้ออกแบบงานสร้างคือจอน ฮูทแมน และผู้กำกับภาพคือโรเจียร์ สตอฟเฟอร์ส, เอเอสซี, เอ็นเอสซี ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่วิลเลียม ชีรัค, เทรซีย์ ไนเบิร์ก, เลตา คาโลกริดิส, มาร์ค แม็คแนร์และอำนวยการสร้างโดยแบรดลีย์ เอฟ. ฟิสเชอร์. พี.จี.เอ., เจมส์ แวนเดอร์บิลท์, พี.จี.เอ., อีริค คริปเก้, พี.จี.เอ. The House with a Clock in Its Walls สร้างจากนิยายโดยจอห์น เบลแลร์ส จากบทภาพยนตร์โดยอีริค คริปเก้ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยอีไล ร็อธ © 2018 Universal Studios. www.housewithaclock.com
ประวัติทีมผู้สร้าง THE HOUSE WITH A CLOCK IN ITS WALLS
แจ็ค แบล็ค (Jack Black) รับบท โจนาธาน บาร์นาเวลท์
แจ็ค แบล็คได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถหลากหลายและเป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในวงการบันเทิง ด้วยผลงานภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย ล่าสุด เขาได้แสดงประกบวาคิน ฟินิกซ์, โจนาห์ ฮิลและรูนีย์ มาราในดรามาโดยกัส แวน แซงต์เรื่อง Don’t Worry, He Won’t Get Far on Foot ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ปี 2018 และเข้าฉายเดือนกรกฎาคม ปี 2018
ในปี 2017 แบล็คได้แสดงประกบดเวย์น จอห์นสันและเควิน ฮาร์ทในภาพยนตร์บล็อกลัสเตอร์เรื่อง Jumanji: Welcome to the Jungle นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงนำของ The Polka King ซึ่งเปิดตัวที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2017 และแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาด้วย
ก่อนหน้านี้ เขาได้กลับมาพากย์เสียง โป อีกครั้งในภาคสามของแฟรนไชส์ดังของดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันเรื่อง Kung Fu Panda และเขายังได้รับบทอาร์.แอล. สไตน์ในภาพยนตร์ยอดนิยมของโซนี พิคเจอร์สเรื่อง Goosebumps ที่สร้างจากหนังสือสำหรับเด็กยอดนิยม นอกจากนี้ เขาจะได้อำนวยการสร้างและนำแสดง (ประกบเจมส์ มาร์สเดน) ใน The D Train ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2015 ก่อนจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แบล็คได้รับเสียงชื่นชมจากการแสดงบทแดน แลนด์สแมนในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งได้รับการยกย่องว่า “อาจจะเป็นการแสดงที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขา” จากเดอะ แร็ป
แบล็คได้ร่วมแสดงกับทิม ร็อบบินส์ในซีรีส์คอเมดีตลกร้ายเอชบีโอเรื่อง The Brink และได้นำแสดงในภาพยนตร์อินดีที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Bernie ซึ่งเป็นบทที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2013 ในสาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงนำชายในภาพยนตร์ – คอเมดีหรือมิวสิคัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดปี 2013 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยผลงานเรื่อง Tropic Thunder, School of Rock ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งแรกในสาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงนำชายในภาพยนตร์ – คอเมดีหรือมิวสิคัลและภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง King Kong ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง Gulliver’s Travels, The Big Year, The Muppets, Nacho Libre, Kung Fu Panda, Kung Fu Panda 2, Bob Roberts, High Fidelity, Saving Silverman, Year One, Shallow Hal, Ice Age, Orange County, Envy, Shark Tale และ The Holiday
นอกจอ เขาได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันที่ประสบความสำเร็จของตัวเองในชื่อ อิเล็คทริค ไดนาไมท์ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์ต่างๆ อยู่รวมถึง Madame X, Belles & Whistles และ Wizard’s Way ผลงานอื่นๆ ของอิเล็คทริค ไดนาไมท์รวมถึง The D Train และซีรีส์ดิจิตอล Ghost Ghirls
แบล็คผู้มีความสามารถรอบด้านอย่างแท้จริงยังคงเดินทางทัวร์ทั่วประเทศและทั่วโลกในฐานะนักร้องนำของคณะตลกร็อค/โฟล์ค เทเนเชียส ดี ซึ่งเขาก่อตั้งขึ้นร่วมกับเพื่อนผู้ร่วมงานกับเขามานาน ไคล์ แกสส์ ทั้งคู่ได้ออกอัลบัมกับอีพิค เรคคอร์ดส์ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2001 ซึ่งทำยอดขายได้ระดับทองคำอย่างรวดเร็ว ภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา Tenacious D in The Pick of Destiny เข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 และนำไปสู่สารคดีสองเรื่อง ได้แก่ The Making of ‘The Pick of Destiny’ ซึ่งอำนวยการสร้างและกำกับโดยแบล็ค และ D Tour: A Tenacious Documentary ซึ่งโฟกัสไปที่การทัวร์รอบโลกของวง เพื่อสนับสนุนภาพยนตร์และซาวน์แทร็คของพวกเขา
ในปี 2013 แบล็คและแกสส์ได้ก่อตั้งเฟสติวัล สุพรีม งานเทศกาลคอเมดีและดนตรีประจำปีที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่สี่ในเดือนตุลาคมปี 2016
เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับทันยา ภรรยาของเขาและลูกชายสองคน
เคท แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) รับบท ฟลอเรนซ์ ซิมเมอร์แมน
เคท แบลนเชตต์ รับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการศิลป์และซีอีโอร่วมของซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนี (เอสทีซี) ร่วมกับแอนดรูว์ อัพตันระหว่างปี 2008-2013 เธอสำเร็จการศึกษาจากสถาบันออสเตรเลียน เนชันแนล อินสติติวท์ ออฟ ดรามาติก อาร์ต และได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ มหาวิทยาลัยซิดนีย์และมหาวิทยาลัยแม็คควอร์รีย์ ในปี 2014 เธอได้แสดงบท จัสมิน ในภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง Blue Jasmine ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม การแสดงในบท จัสมิน ของเธอทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเวทีแซ็ก อวอร์ด, ลูกโลกทองคำ, บาฟตา อวอร์ด, ฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและสมาคมนักวิจารณ์ต่างๆ ปีนี้ แบลนเชตต์ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการตัดสินงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 71 ในฝรั่งเศส คณะกรรมการของเธอรวมถึงเอวา ดูเวอร์เนย์, คริสเตน สจวร์ต, เดนิส วิลเลอเนิฟ, ฉางเฉิน, โรเบิร์ต กัวดิกวน, คัดจา นิน, ลีอา เซย์ดูซ์และอังเดร ซิยากินเซฟ
ในปี 2015 แบลนเชตต์ได้แสดงประกบรูนีย์ มาราใน Carol ที่กำกับโดยท็อดด์ เฮย์เนสและสร้างจากนิยายโดยแพทริเซีย ไฮสมิธเรื่อง “The Price of Salt” เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, บาฟตา, ลูกโลกทองคำ, ฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริตและแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงนำของเธอในภาพยนตร์เรื่องนี้ แบลนเชตต์ได้รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของโปรเจ็กต์ดังกล่าว ซึ่งอำนวยการสร้างร่วมกับเดอร์ตี้ ฟิล์มส์ บริษัทที่แบลนเชตต์ก่อตั้งร่วมกับอัพตัน ในปีเดียวกัน แบลนเชตต์ยังได้แสดงใน Truth ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ในบท แมรี เมพส์ ผู้ซึ่งอนุทินเรื่อง “Truth and Duty: The Press, The President, and the Privilege of Power” ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นภาพยนตร์ นอกจากนี้ เดอร์ตี้ ฟิล์มส์ยังได้รับเครดิตการอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
ในปี 2017 แบลนเชตต์ได้แสดงใน Thor: Ragnarok ภาคสามของแฟรนไชส์มาร์เวลและภาพยนตร์โดยจูเลียน โรสเฟลด์เรื่อง Manifesto ในปีนี้ เธอได้นำแสดงใน Ocean’s Eight ภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยทีมนักแสดงหญิงเรื่องแรกในแฟรนไชส์ Ocean’s ในปีถัดไป เธอจะแสดงใน Where’d You Go, Bernadette ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกันของนิวยอร์ก ไทม์โดยมาเรีย เซมเปิล และซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Mowgli
ในปี 2004 แบลนเชตต์ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากบทแคทเธอรีน เฮพเบิร์นในภาพยนตร์ชีวประวัติของโฮเวิร์ด ฮิวจ์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง The Aviator ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลบาฟตาและแซ็ก อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในปี 2008 แบลนเชตต์ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ ได้แก่สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Elizabeth: The Golden Age และสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก I’m Not There ทำให้เธอเป็นนักแสดงคนที่ห้าในประวัติศาสตร์สถาบันทที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาการแสดงทั้งสองสาขาในปีเดียวกัน นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็กและบาฟตา อวอร์ดในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Elizabeth: The Golden Age และ I’m Not There ตามลำดับ สำหรับเรื่องหลัง เธอยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด, รางวัลสมาคมนักวิจารณ์หลายแห่งและรางวัลโวลปี้ คัพสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิสปี 2007 อีกด้วย
เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกและได้รับรางวัลบาฟตาครั้งแรก, รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยตร์ลอนดอนจากบทราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งในภาพยนตร์โดยเชคาร์ คาปูร์เรื่อง Elizabeth นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ดจากการแสดงของเธอใน Notes on a Scandal อีกด้วย เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงนำในภาพยนตร์โดยโจเอล ชูมัคเกอร์เรื่อง Veronica Guerin และจากผลงานของเธอในภาพยนตร์โดยแบร์รี เลวินสันเรื่อง Bandits ก่อนหน้านี้ เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยแอนโธนี มิงเกลลาเรื่อง The Talented Mr. Ripley
แบลนเชตต์ได้รับบท กาลาเดรียล ในไตรภาค The Lord of the Rings โดยปีเตอร์ แจ็คสัน และกลับมารับบทของเธอีกครั้งในไตรภาค The Hobbit ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึง ภาพยนตร์โดยจอร์จ คลูนีย์เรื่อง The Monuments Men; ภาพยนตร์โดยโจ ไรท์เรื่อง Hanna; ภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อตเรื่อง Robin Hood; ภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button; ภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull; ภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง The Good German; ภาพยนตร์โดยอเลฮันโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตูเรื่อง Babel และภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง The Life Aquatic with Steve Zissou
ส่วนหนึ่งของผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยจิม จาร์มัสช์เรื่อง Coffee and Cigarettes ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด; ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง The Missing; ภาพยนตร์โดยกิลเลียน อาร์มสตรองเรื่อง Charlotte Gray; ภาพยนตร์โดยแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง The Shipping News; ภาพยนตร์โดยโรวัน วู้ดส์เรื่อง Little Fish; ภาพยนตร์โดยไมค์ นีเวลเรื่อง Pushing Tin; ภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ ปาร์คเกอร์เรื่อง An Ideal Husband; ภาพยนตร์โดยแซม ไรมีเรื่อง The Gift; ภาพยนตร์โดยแซลลี พอตเตอร์เรื่อง The Man Who Cried; ภาพยนตร์โดยบรูซ เบเรสฟอร์ดเรื่อง Paradise Road; Thank God He Met Lizzie ซึ่งทำให้เธอได้รับทั้งรางวัลสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์ออสเตรเลีย (เอเอซีทีเอ) และรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งออสเตรเลีย สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและภาพยนตร์โดยกิลเลียน อาร์มสตรองเรื่อง Oscar and Lucinda ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียสาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงนำหญิง
แบลนเชตต์ได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์เมื่อปีที่แล้วในละครเวทีเรื่อง The Present โปรดักชันของซิดนีย์ เธียเตอร์ คัมปะนีและสจวร์ต ธอมป์สัน ที่สร้างจากเรื่อง Platonov โดยแอนตัน ไชคอฟ แบลนเชตต์ได้แสดงละครเวทีโปรดักชันนี้ ซึ่งเขียนบทโดยแอนดรูว์ อัพตันและกำกับโดยจอห์น โครว์ลีย์เป็นครั้งแรกเมื่อมันเปิดตัวในซิดนีย์ในเดือนสิงหาคม ปี 2015 ในปี 2019 เธอจะแสดงใน When We Have Sufficiently Tortured Each Other ที่โรงละครเนชันแนล เธียเตอร์ ในกรุงลอนดอน ผลงานละครเวทีก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึงบทนำใน Hedda Gabler ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลอิบสัน เซนเทนเนียล อวอร์ด, รางวัลเฮลป์แมนน์ อวอร์ดและโม อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม, บทริชาร์ดที่สองในละครเวทีเรื่อง The War of The Roses โปรดักชันเอสทีซีที่ได้รับการยกย่อง, บทบลังเช ดู บัวส์ในละครเวทีเรื่อง A Streetcar Named Desire โดยเทนเนสซี วิลเลียมส์ ซึ่งเปิดการแสดงตั้งแต่ที่ซิดนีย์ ไปยังวอชิงตัน, ดี.ซี. และนิวยอร์ก ท่ามกลางเสียงชื่นชม (การแสดงของเธอได้รับการยกย่องจากนิวยอร์ก ไทม์ว่าเป็น “การแสดงแห่งปี”) และมันยังทำให้เธอได้รับรางวัลเฮเลน ฮาเยส อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สำหรับโปรดักชันที่ไม่ใช้ผลงานของคณะละครประจำ เธอรับบท เยเลนา ในละครเวทีโดยไชคอฟเรื่อง Uncle Vanya ในบทที่ดัดแปลงใหม่โดยอัพตัน ที่เปิดการแสดงตั้งแต่ที่วอชิงตัน, ดี.ซี. ในปี 2011 และนิวยอร์กในปี 2012 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมและทำให้เธอได้รับรางวัลเฮลป์แมนน์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในละครเวทีและรางวัลเฮเลน ฮาเยส อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สำหรับโปรดักชันที่ไม่ใช้ผลงานของคณะละครประจำอีกด้วย นอกจากนี้ เธอยังได้รับบท ล็อตเต้ ในละครเวทีโดยโบโธ สเตราส์เรื่อง Gross und Klein ซึ่งเปิดการแสดงทั่วยุโรป ในปี 2012 ละครเวทีเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานลอนดอน คัลเจอรัล โอลิมเปียด และทำให้เธได้รับรางวัลเฮลป์แมนน์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในละครเวทีเป็นครั้งที่สาม เธอได้แสดงประกบอิซาเบลล์ ฮัพเบิร์ตในละครเวทีโดยฌอน เจเน็ตเรื่อง The Maids โปรดักชันของเอสทีซี ภายใต้การกำกับของเบเนดิคท์ แอนดรูว์สและร่วมดัดแปลงโดยอัพตันและแอนดรูว์ส ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้แบลนเชตต์ได้รับรางวัลเฮลป์แมนน์ อวอร์ดเป็นครั้งที่สี่
ในปี 2017 แบลนเชตต์ได้รับเครื่องราชย์คอมพาเนียน ออฟ ดิ ออเดอร์ ออฟ ออสเตรเลีย ในแผนกทั่วไป สำหรับคุณูปการใหญ่หลวงที่เธอมีต่อศิลปะการแสดงในฐานะนักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ระดับโลก ผ่านทางการทำงานในฐานะผู้อำนวยการขององค์กรด้านศิลปะหลายแห่ง ในฐานะแบบอย่างสำหรับผู้หญิงและนักแสดงรุ่นเยาว์ และในฐานะผู้สนับสนุนงานด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อม เธอได้รับเหรียญตราเซ็นทีนารี มีดัล ฟอร์ เซอร์วิส ทู ออสเตรเลียน โซไซตี้ ธรู แอ็กติ้ง และในปี 2017 เธอก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลทรงอิทธิพลของนิตยสารไทม์ ในปี 2012 เธอได้รับเครื่องราชย์เชวาเลียร์ เดอ ออร์เดร เด อาร์ตส์ เอ เดอ เล็ทเทร โดยกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติกับคุณูปการใหญ่หลวงที่เธอมีต่อวงการศิลปะ นอกจากนี้ ดวงดาวของเธอยังประดับอยู่บนฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟมอีกด้วย
ในปี 2008 แบลนเชตต์ได้ร่วมเป็นประธานจัดงานประชุมเนชันแนล 2020 ซัมมิทของนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เธอเป็นผู้สนับสนุนงานเทศกาลภาพยนตร์ซิดนีย์และทูตสำหรับมูลนิธิออสเตรเลียน คอนเซอร์เวชันและสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลีย
แบลนเชตต์เป็นผู้สนับสนุนสำนักงาน ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) หน่วยงานเกี่ยวกับผู้อพยพของสหประชาชาติ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีของยูเอ็นเอชซีอาร์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2016 เธอรับภารกิจการตามหาความจริงในเลบาดนและจอร์แดน เพื่อพบกับบรรดาผู้อพยพและบุคคลไร้ประเทศ ที่ไร้ถิ่นฐานจากความขัดแย้งในซีเรีย แบลนเชตต์มุ่งมั่นกับการรณรงค์ให้มีการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นของการถูกบังคับให้ต้องย้ายถิ่นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อให้เกิดการไร้ประเทศที่ส่งผลต่อผู้คนนับล้านๆ คนทั่วโลก ที่ทำให้พวกเขาปราศจากสิทธิพื้นฐาน รวมถึงการเข้าถึงการศึกษาและการอนามัยและความสามารถในการทำงานและเดินทาง
แบลนเชตต์อาศัยอยู่ในลอนดอนกับสามีและลูกๆ สี่คน
โอเวน วัคคาโร (Owen Vaccaro) รับบท ลูอิส บาร์นาเวลท์
โอเวน วัคคาโร ผู้ชาญฉลาด ใฝ่รู้และมีพรสวรรค์อย่างไร้ข้อกังขา เป็นนักแสดงดาวรุ่ง ด้วยวัยเพียง 12 ปี เขาก็มีผลงานที่ประกอบไปด้วยโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ชื่อดังในแบบที่นักแสดงที่อายุมากกว่าเขาสองเท่ายังคงเพียรพยายามจะสร้างขึ้นมา และเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะชะลอตัวลงเลย
วัคคาโรเกิดในแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เขาเริ่มแสดงในละครเวทีโปรดักชันเล็กๆ เมื่อเขาอายุได้สี่ขวบ แต่แล้วเขาก็เริ่มหลงใหลในละครเวทีและภาพยนตร์เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ พ่อแม่ของเขามองหาสิ่งที่จะทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ ก่อนที่ในที่สุด ก็ให้เขาเซ็นสัญญาแสดงที่โรงละครมิวสิคัลที่เอ็มซี สเตจเวิร์คส์ในแอตแลนตา วัคคาโรชื่นชอบการอยู่บนเวทีและเนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราว เขาได้รับเลือกให้แสดงในโฆษณาสำหรับฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และได้แสดงภาพยนตร์อินดีในท้องถิ่นหลายเรื่อง ที่ซึ่งพรสวรรค์เขาเติบโตขึ้นและเขาได้เรียนรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์ นับตั้งแต่นั้นมา วัคคาโรก็ได้แสดงในแฟรนไชส์เรื่องแรก เมื่อเขาได้รับบท ดีแลน ลูกชายของมาร์ค วอห์ลเบิร์กและลูกเลี้ยงของวิล เฟอร์เรลใน Daddy’s Home และ Daddy’s Home 2 นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมงานกับแกร์รี มาร์แชลใน Mother’s Day และ Fun Mom Dinner กับมอลลี แชนนอนและโทนี คอลเล็ตต์อีกด้วย เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์อินดีเรื่อง Team Marco ซึ่งเขารับบทพระเอกของเรื่อง มาร์โก้ เด็กหนุ่ม ผู้ซึ่งคุณปู่ย้ายมาอยู่กับครอบครัวของเขาและสนับสนุนให้เขาตัดขาดจากไอแพ็ดและเริ่มก่อตั้งทีมบ็อชชี บอลร่วมกับเด็กๆ ในละแวกนั้น
ในตอนที่เขาไม่ได้อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ วัคคาโรและครอบครัวของเขาใช้ชีวิตอยู่ในแอตแลนตา เขาเป็นลูกคนกลาง ที่มีพี่สาว (ทาทัม) และน้องชาย (รี้ด) ครอบครัวของวัคคาโรทำให้เขาติดดินด้วยการใช้รถร่วมกัน กีฬาฟุตบอล การฝึกซ้อมและการใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เขายังคงเข้าเรียน ทำเวิร์คช็อป เรียนเรื่องละครเวทีมิวสิคัลและการร้องเพลง และเข้าค่ายฤดูร้อนที่อัลลิแอนซ์ เธียเตอร์ในแอตแลนตา
เรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี (Renee Elise Goldsberry) รับบท เซเลนา
เรเน เอลิส โกลด์สเบอร์รี ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ด, แกรมมี อวอร์ด, ดรามา เดสก์ อวอร์ดและลูซิลล์ ลอร์เทล อวอร์ดจากการแสดงของเธอทั้งบนเวทีบรอดเวย์และออฟบรอดเวย์ในละครมิวสิคัลที่โด่งดังเรื่อง Hamilton
นับตั้งแต่ที่เธอได้รับรางวัลโทนี อวอร์ด เธอก็ได้แสดงบทนำในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง The Immortal Life of Henrietta Lacks ประกบโอปราห์ วินฟรีย์และในซีรีส์โดยบาซ ลูห์แมนเรื่อง The Get Down สำหรับเน็ตฟลิกซ์
ปัจจุบัน เธอกำลังแสดงในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง Altered Carbon ที่กำลังแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์ ในปี 2019 เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเทรย์ ชูลท์เรื่อง Waves ประกบลูคัส เฮดเจสและสเตอร์ลิง เค. บราวน์
ก่อนหน้า Hamilton การปรากฏตัวบนละครเวทีของโกลด์สเบอร์รีรวมถึงการแสดงที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาคมนักวิจารณ์นอกเมือง ประกบฟรานซิส แม็คดอร์มานด์ในละครเวทีเรื่อง Good People รวมถึงเวอร์ชันบรอดเวย์ของเรื่อง The Color Purple เธอได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วย The Lion King และการแสดงของเธอในบท มีมี ในละครบรอดเวย์เรื่อง Rent ก็ไปปรากฏในรูปแบบภาพยนตร์ บนเวทีออฟบรอดเวย์ การแสดงของเธอใบทซิลเวียในละครเวทีเรื่อง Two Gentlemen of Verona โปรดักชันของพับลิค เธียเตอร์สำหรับซีรีส์ Shakespeare in the Park ของพวกเขาก็ทำให้เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม
ผลงานจอแก้วและจอเงินที่โดดเด่นของเธอรวมถึงผลงานใน The Good Wife; The Following; ซีรีส์อนิเมชันเรื่อง The Lion Guard; ภาพยนตร์ยอดนิยมโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง Sisters; ภาพยนตร์อินดีเรื่อง All About You และการสร้างตัวละครที่เป็นที่รักอย่างอีวานเจลิน วิลเลียมสันในซีรีส์เอบีซีเรื่อง One Life to Live ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเดย์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดและสองรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียงมิสโนแวร์ในซีรีส์อนิเมชันโดยดรีมเวิร์คส์เรื่อง Fast & Furious อีกด้วย
โกลด์สเบอร์รีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยคาร์เนจี้ เมลลอน และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เย เธอเป็นคุณแม่ลูกสองและเป็นภรรยาที่มีความสุข! สำหรับโชคดีทั้งในเรื่องส่วนตัวและการงาน โกลด์สเบอร์รีมองว่าทุกอย่างเกิดจากพระเจ้า!
ซันนี ซัลจิค (Sunny Suljic) รับบท ทาร์บี้
ซันนี ซัลจิค เมื่อเร็วๆ นี้ได้แสดงในภาพยนตร์โดยยอร์กอส แลนธิมอสเรื่อง The Killing of a Sacred Deer ประกบนิโคล คิดแมนและโคลิน ฟาร์เรล ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2017 นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยกัส แวน แซงต์เรื่อง Don’t Worry, He Won’t Get Far on Foot ซึ่งนำแสดงโดยแจ็ค แบล็คและวาคิน ฟินิกซ์อีกด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์ทริลเลอร์สยองขวัญเรื่อง The Unspoken (2015) ที่กำกับและเขียนบทโดยเชลดอน วิลสันและดรามาเรื่อง 1915 (2015) ที่นำแสดงโดยแองเจลา ซาราเฟียน
ผลงานจอแก้วของซัลจิครวมถึงบทรับเชิญ โจ บัคเนอร์ วัยหนุ่มในซีรีส์อาชญากรรมทางซีบีเอสเรื่อง Criminal Minds
ลอเรนซา อิซโซ (Lorenza Izzo) รับบท แม่ของลูอิส
ลอเรนซา อิซโซ เดินทางจากเมืองซานเตียโก้ ประเทศชิลี บ้านเกิดของเธอ ไปยังลอสแองเจลิส และเธอก็ได้รับความสนใจจากฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว
หลังจากนี้ ผู้ชมจะได้เห็นอิซโซในดรามาอเมซอนหลากรุ่นเรื่อง Life Itself ที่เขียนบทและกำกับโดยแดน โฟเกลแมนและแพร่ภาพในวันที่ 21 กันยายน นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในซีซันที่สี่ และซีซันสุดท้ายของซีรีส์ยอดนิยมทางฮูลูเรื่อง Casual ที่เปิดตัวในฤดูร้อนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอยังเพิ่งได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ซึ่งจะเข้าฉายในปี 2019 อีกด้วย
เธอได้แสดงในทริลเลอร์จิตวิทยาโดยไลออนส์เกทเรื่อง Knock Knock ประกบคีอานู รีฟส์และอนา เดอ อาร์มาส ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2015 ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงทริลเลอร์เกี่ยวกับมนุษย์กินคนที่กำกับโดยอีไล ร็อธเรื่อง The Green Inferno และภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของอิซโซ ทริลเลอร์โดยไดเมนชันเรื่อง Aftershock ที่กำกับโดยนิโคลัส โลเปซ นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง The Stranger ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยกุยเลอร์โม อโมโดและโรแมนติกคอเมดีเรื่อง Sex Ed ประกบฮาเลย์ โจเอล ออสเมนท์
ด้านจอแก้ว อิซโซได้แสดงในซีรีส์เอเอ็มซีเรื่อง Feed the Beast ประกบเดวิด ชวิมเมอร์และจิม สเตอร์เจส นอกจากนี้ เธอยังรับบทนางเอกในตอนไพล็อตของเอ็นบีซีเรื่อง I am Victor ประกบจอห์น สตามอสและแมทธิว ลิลลาร์ด และเธอก็ได้รับบทประจำในซีรีส์โกมอนท์/เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Hemlock Grove อีกด้วย
ในชิลี อิซโซเป็นที่รู้จักจากการแสดงในคอเมดีเรื่อง Que Pena Tu Boda (F*ck My Wedding) และ Que Pena Tu Familia (F*ck my Family) ซึ่งทั้งสองเรื่องกำกับโดยนิโคลัส โลเปซ
อิซโซติดอันดับ “10 บุคคลน่าจับตามอง” ของนิตยสารวาไรตี้ ลาติโน รวมถึงในหนังสือ Young Hollywood ของช่างภาพแคลบอร์น สวอนสัน แฟรงค์ ในฐานะนักแสดงสาวหน้าใหม่ของฮอลลีวูด
ปัจจุบัน เธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส
ไคล์ แม็คลัคเลน (Kyle MacLachlan) รับบท ไอแซ็ค
ไคล์ แม็คลัคเลน เป็นนักแสดงผู้นำเสน่ห์และความซับซ้อนที่ไม่ธรรมดามาสู่บทบาทที่น่าจดจำที่สุดทางจอแก้วและจอเงินมากมาย
แม็คลัคเลนเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเขาในบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ เดล คูเปอร์ในซีรีส์แปลกใหม่โดยเดวิด ลินช์เรื่อง Twin Peaks ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำ ซีรีส์ที่ถูกนำกลับมาสร้างใหม่เรื่องนี้เปิดตัวทางโชว์ไทม์ในวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2017
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งกลับมารับบทนายกเทศมนตรีแห่งพอร์ทแลนด์ ที่มีเสน่ห์และความกระตือรือร้น ประกบเฟร็ด อาร์มิสันและแครีย์ บราวน์สไตน์ ในซีซันแปดและซีซันสุดท้ายของซีรีส์คอเมดีคัลท์ยอดนิยมเรื่อง Portlandia อีกครั้ง
ในปี 2015 แม็คลัคเลนได้พากย์เสียง คุณพ่อ ในภาพยนตร์รางวัลของดิสนีย์และพิกซาร์เรื่อง Inside Out ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 19 มิถุนายน ปี 2015 และสร้างสถิติใหม่ในบ็อกซ์ออฟฟิศสำหรับภาพยนตร์ออริจินอล ภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ, บาฟตา อวอร์ดและรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เพรส อคาเดมี แซทเทลไลท์ อวอร์ด
เขาได้แสดงเป็นประจำในซีรีส์ทางเอบีซีเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D., ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง The Good Wife และซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Believe ซึ่งอำนวยการสร้างโดยเจ.เจ.อับรามส์ นอกจากนี้ เขายังรับบทรับเชิญเป็นกัปตันใน How I Met Your Mother อีกด้วย บทนี้มีเค้าโครงจากบทพระเอกในซิทคอมยุคเริ่มแรกของแม็คลัคเลน เช่น เธิร์สตัน โฮเวลล์ที่สามและเจโธร โบดิน
แม็คลัคเลนได้กลับมารับบท ดร.ออร์สัน ฮ็อดจ์ในซีซันที่แปดและซีซันสุดท้ายของซีรีส์เรตติ้งสูงของเอบีซี ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดเรื่อง Desperate Housewives เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์เรื่องนี้ในปี 2006 และได้ปรากฏตัวในซีรีส์นี้อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งปี 2011
ในปี 2012 แม็คลัคเลนได้แสดงในภาพยนตร์โดยไอเอฟซี ฟิล์มส์เรื่อง Peace, Love & Misunderstanding ที่กำกับโดยบรูซ เบเรสฟอร์ด และนำแสดงโดยเจน ฟอนดา, อลิซาเบธ โอลสันและแคทเธอรีน คีนเนอร์
ในปี 2010 แม็คลัคเลนได้แสดงใน Mao’s Last Dancer ภาพยนตร์ที่เขาถ่ายทำในออสเตรเลียในปี 2009 ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักเต้นบัลเลต์ ลีจุนซิน แม็คลัคเลนรับบท ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ ทนายความด้านการอพยพ ที่รับผิดชอบในการปกป้องไม่ให้เธอถูกไล่ออกจากอเมริกาโดยรัฐบาลจีน พร้อมกับช่วยให้เขาได้รับสิทธิการเป็นพลเมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเบเรสฟอร์ดและจัดจำหน่ายโดยซามวล โกลด์วิน ฟิล์มส์และอาโต พิคเจอร์ส
นอกจากนี้ แม็คลัคเลนยังได้แสดงในสองซีซันของซีรีส์คอเมดีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางเอชบีโอเรื่อง Sex and the City ในบทดร.เทรย์ แม็คดูกัลป์ สามีของชาร์ล็อตต์อีกด้วย เขาได้รับบทรับเชิญในซีรีส์ Law & Order: Special Victims Unit
ผลานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง Justice สำหรับเอบีซี (2006); ซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง The Librarian: Quest for the Spear (2004); ภาพยนตร์รางวัลโดยเอชบีโอเรื่อง Against the Wall เรื่องราวของการก่อความวุนวายในคุกแอตติกาปี 1971 (1994) และภาพยนตร์ออริจินอลทางโชว์ไทม์เรื่อง Roswell ที่สร้างจากเรื่องราวฉาวโฉ่ของการอ้างว่ามีการพบเห็นยูเอฟโอในรอสเวล รัฐนิวเม็กซิโกในปี 1947 (1994)
แม็คลัคเลนได้เปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 1984 ในดรามาอนาคตเรื่อง Dune ที่กำกับโดยเดวิด ลินช์ หลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมงานกับลินช์เป็นครั้งที่สงในปี 1986 ในภาพยนตร์สั่นคลอนจิตใจเรื่อง Blue Velvet ประกบอิซาเบลลา รอสเซลลินีและเดนนิส ฮ็อปเปอร์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึง The Sisterhood of the Traveling Pants 2 (2008); Touch of Pink (2004); Miramax’s Hamlet (2000); Timecode (2000); One Night Stand (1997); The Trigger Effect (1996); ภาพยนตร์คัลท์ คลาสสิกโดยพอล เวอร์โฮเวนเรื่อง Showgirls (1995); The Flintstones ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก (1994); The Trial (1993); Rich in Love (1992) และภาพยนตร์ปี 1991 โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง The Doors ที่เขารับบทมือคีย์บอร์ดในตำนาน เรย์ แมนซาเร็ค
แม็คลัคเลนเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกในปี 1993 ด้วยเอพิโซดของซีรีส์ตลกร้ายยอดนิยมทางเอชบีโอ Tales from the Crypt
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 แม็คลัคเลนได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในบทแอสตันในละครเวทีโดยฮาโรลด์ พินเตอร์เรื่อง The Caretaker ซึ่งนำแสดงโดยแพทริค สจวร์ตและเอเดน กิลเลน ละครเวทีเรื่องนี้ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของสองพี่น้องและคนชราผู้ถูกทอดทิ้งในพื้นที่คับแคบ กำกับโดยเดวิด โจนส์สำหรับเดอะ ราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนี และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคู่ปรับดีเด่นในละครเวทีโดยสมาคมนักวิจารณ์นอกเมืองในซีซัน 2003/2004 ในปี 2002 แม็คลัคเลนได้เปิดตัวบนเวทีละครในลอนดอนด้วยละครเวทีเรื่อง On an Average Day โปรดักชันเวสต์เอนด์ ประกบวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน ละครเวทีสองตัวละครโดยจอห์น โคลเวนบัคเรื่องนี้เล่าเรื่องของสองพี่น้องตัวปัญหาที่กลับมาเจอกันอีกครั้งและทำให้เกิดผลลัพธ์สุดป่วนตามมา ละครเวทีเรื่องนี้ ที่กำกับโดยจอห์น โครว์ลีย์ เป็นการกลับคืนสู่รากเหง้าละครเวทีของแม็คลัคเลนอีกครั้งหลังจากห่างหายไป 14 ปี
แม็คลัคเลนเป็นทูตของมูลนิธิคัลลาเวย์ กอล์ฟ ฟาวน์เดชันและเป็นผู้สนับสนุนองค์กรการกุศลมากมาย รวมถึงก็อดส์ เลิฟ วี ดิลิเวอร์, อเมริกัน ฟาวน์เดชัน ฟอร์ เอดส์ รีเสิร์ช, เอลตัน จอห์น เอดส์ ฟาวน์เดชัน, เดอะ ฮิวเมน โซไซตี้และยูนิเซฟ
แม็คลัคเลนชื่นชอบการทำไวน์และเขาก็ได้สร้างไวน์ของตัวเอง เพอร์ซูด์ บาย อะ แบร์ ไวน์คาเบอร์เน็ตที่หมักจากองุ่นที่หาได้จากในและรอบๆ วอชิงตัน รัฐบ้านเกิดของแม็คลัคเลน เขาได้คิดไวน์ตัวที่สองในชื่อ เบบี้ แบร์ ไวน์ไซราห์ ที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติกับลูกชายของเขา แคลลัม ผู้เกิดในปี 2008 ปีของการเก็บผลผลิตครั้งแรก ในปี 2015 เขาได้ปล่อยไวน์โรเซที่ชื่อ บลัชชิง แบร์ออกมา
ปัจจุบัน แม็คลัคเลนแบ่งเวลาระหว่างการอยู่ที่ลอสแองเจลิสและนิวยอร์กกับ เดสสิรี ภรรยาของเขา และแคลลัม ลูกชายของพวกเขา
ประวัติทีมผู้สร้าง
อีไล ร็อธ (Eli Roth)—กำกับโดย
อีไล ร็อธ แจ้งเกิดในวงการภาพยนตร์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2002 ด้วยผลงานการกำกับเรื่องแรก Cabin Fever ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างอิสระด้วยทุนสร้าง 1.5 ล้านเหรียญ กระตุ้นให้เกิดสงครามประมูลแย่งชิงระหว่างสตูดิโอเจ็ดแห่ง และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของไลออนส์เกทในปีนั้น Hostel ผลงานหลังจากนั้นของร็อธ ซึ่งเขาเขียนบท อำนวยการสร้างและกำกับ ทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั่วโลก นำไปสู่การสร้างซีเควลที่ประสบความสำเร็จเรื่อง Hostel: Part II ที่เขียนบทและกำกับโดยร็อธ
ล่าสุด ร็อธได้กำกับ Death Wish ซึ่งนำแสดงโดยบรูซ วิลลิส ในปี 2015 ไลออนส์เกทได้ปล่อยภาพยนตร์ยอดนิยมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ของร็อธเรื่อง Knock Knock ซึ่งนำแสดงโดยคีอานู รีฟส์ ในบทชายมีครอบครัวแสนสุข ผู้ซึ่งชีวิตต้องพลิกผันด้วยผู้หญิงสองคนที่มีวัตถุประสงค์ร้าย นอกเหนือจากนั้น ร็อธยังได้ร่วมเขียนบท อำนวยการสร้างและกำกับ The Green Inferno ซึ่งถ่ายทำในโลเกชันในป่าอเมซอน ลึกเข้าไปไกลกว่าภาพยนตร์เรื่องที่ผ่านๆ มาเสียอีก นอกจากนั้น ในปี 2015 และ 2016 ร็อธได้เป็นพิธีกร Shark Week รายการยอดนิยมทางดิสคัฟเวอรี แชนแนล และรายการทอล์คโชว์ช่วงดึก Shark After Dark ซึ่งทั้งสองรายการได้รับเรตติ้งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีร็อธเป็นพิธีกร
ในฐานะนักแสดง ร็อธได้แสดงในเซ็กเมนต์ Death Proof ของเควนติน ทารันติโนจากภาพยนตร์เรื่อง Grindhouse (ซึ่งเขาได้เขียนบทและกำกับเทรลเลอร์ปลอมช่วงวันขอบคุณพระเจ้าที่ฉายระหว่างภาพยนตร์ในเรื่อง) และ Inglourious Basterds (ที่เขารับบทร้อยโทดอนนี โดโนวิทซ์ และกำกับภาพยนตร์รณรงค์เรื่องความภาคภูมิใจในชาติภายในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว) ร็อธและเพื่อนร่วมแสดงของเขาได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาส์และรางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ด นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยนิโคลัส โลเปซเรื่อง Aftershock ทริลเลอร์เกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่เขาเขียนบทร่วมกับโลเปซและอำนวยการสร้าง ภายใต้การจัดจำหน่ายของไดเมนชัน ฟิล์มส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นการร่วมงานกันระหว่างร็อธและชิลีวู้ดของโลเปซ (ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Green Inferno และ Knock Knock)
ร็อธได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Last Exorcism, The Man with the Iron Fists, The Last Exorcism Part II และได้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ยอดนิยมที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดเรื่อง Hemlock Grove ซึ่งแพร่ภาพซีซันสุดท้ายในปี 2015 นอกเหนือจากนั้น ร็อธยังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างใน South of Hell ที่แพร่ภาพทางวี ทีวีร่วมกับเจสัน บลูมอีกด้วย
ร็อธได้รับรางวัลวิชันนารี อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์สแตนลีย์ จากคุณูปการที่เขามีต่อวงการภาพยนตร์สยองขวัญอิสระและรางวัลวิชันนารี ฟิล์มเมคเกอร์ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซานดิเอโก้ ในปี 2014 ร็อธและผู้กำกับโลเปซจาก Aftershock ได้รับรางวัลลา เดอ ดิออส อวอร์ดจากงานเทศกาลแฟนทาสติก เฟสต์ในออสตินจากการถ่ายทำและงานสร้างของพวกเขาในชิลี นอกเหนือจากนั้น ในปี 2014 เขายังได้ร่วมก่อตั้งเดอะ คริพท์ แชนแนลดิจิตอลมัลติแพลทฟอร์มสำหรับเนื้อหาที่มืดหม่นและอันตรายอีกด้วย จนถึงปัจจุบัน ซีรีส์ของเดอะ คริพท์มียอดผู้ชมกว่า 100 ล้านครั้ง
ปัจจุบัน ร็อธอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
อีริค คริปเก้, พี.จี.เอ. (Eric Kripke, p.g.a.)—บทภาพยนตร์โดย/อำนวยการสร้างโดย
อีริค คริปเก้, พี.จี.เอ. เป็นมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์ เขาได้ร่วมสร้างซีรีส์แอ็กชันผจญภัยเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาทางเอ็นบีซีเรื่อง Timeless ซึ่งปัจจุบันเขาทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและผู้ร่วมบริหาร นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้สร้าง ผู้อำนวยการสร้างและผู้บริหารของซีรีส์ใหม่ทางอเมซอนเรื่อง The Boys ซึ่งสร้างจากหนังสือการ์ตูนเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์โดยการ์ธ เอนนิส ซีรีส์นี้มีกำหนดเปิดตัวในปี 2019 และกำกับโดยแดน แทรทช์เทนเบิร์กและอำนวยการสร้างโดยเซธ โรแกนและอีวาน โกลด์เบิร์ก
ก่อนหน้านี้ คริปเก้ทำหน้าที่ผู้สร้าง ผู้ควบคุมงานสร้างและผู้บริหารดรามายอดนิยมทางเอ็นบีซีเรื่อง Revolution และซีรีส์ซีดับบลิวที่ฉายยาวนานเรื่อง Supernatural ที่ตอนนี้แพร่ภาพซีซันที่ 13 ซึ่งทำให้มันกลายเป็นซีรีส์แนวนี้ที่แพร่ภาพนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน ก่อนหน้านั้น คริปเก้ได้เขียนบทและควบคุมงานสร้างซีรีส์ดับบลิวบีเรื่อง Tarzan
นอกจากนี้ เขายังเขียนบทและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์โดยสกรีน เจมส์เรื่อง Boogeyman อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่อำนวยการสร้างโดยแซม ไรมีและร็อบ ทาเพิร์ท เปิดตัวด้วยอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ
คริปเก้มาจากเมืองโทเลโด รัฐโอไฮโอ เขาสำเร็จการศึกษาจากยูเอสซี สคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชัน
จอห์น เบลแลร์ส (John Bellairs)—สร้างจากนิยายโดย
จอห์น เบลแลร์ส (17 มกราคม ปี 1938 – 8 มีนาคม ปี 1991) เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เป็นที่รู้จักดี่สุดจากนิยายแฟนตาซีเรื่อง “The Face in the Frost” และนิยายกอธิคลึกลับสำหรับเยาวชนหลายเรื่อง ที่มีตัวเอกเป็นตัวละครที่ชื่อลูอิส บาร์นาเวลท์, โรส ริตา พอตติงเกอร์, แอนโธนี มันเดย์และจอห์นนี ดิ๊กสัน
แบรดลีย์ เจ. ฟิสเชอร์, พี.จี.เอ. (Bradley J. Fischer)—อำนวยการสร้างโดย
แบรดลีย์ เจ. ฟิสเชอร์. พี.จี.เอ. เป็นผู้อำนวยการสร้างจอแก้วและจอเงินคนดัง ผู้ซึ่งการทำงานในฮอลลีวูดเกือบ 20 ปีของเขานำไปสู่การร่วมมือกับผู้กำกับมากมาย รวมถึงมาร์ติน สกอร์เซซี, เดวิด ฟินเชอร์, ดาร์เรน อาโรนอฟสกี้, ลูก้า กัวแด็กนีโน, อังตวน ฟูกัว, โรแลนด์ เอ็มเมอริค, อีไล ร็อธ และ ฯลฯ จนถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์ของเขาทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก
ผลงานภาพยนตร์ที่ฟิสเชอร์อำนวยการสร้างได้แก่ Shutter Island โดยสกอร์เซซี ที่นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอและมาร์ค รัฟฟาโล, ภาพยนตร์โดยฟินเชอร์เรื่อง Zodiac ซึ่งนำแสดงโดยเจค จิลเลนฮัล, รัฟฟาโลและโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และเขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยอาโรนอฟสกี้เรื่อง Black Swan ซึ่งนำแสดงโดยนาตาลี พอร์ตแมนอีกด้วย
Shutter Island เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินและจัดจำหน่ายโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2010 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวด้วยรายได้กว่า 41 ล้านเหรียญ ซึ่งครองสถิติรายได้เปิดตัวสูงสุดสำหรับผลงานการร่วมมือระหว่างสกอร์เซซีและดิคาปริโอและเป็นรายได้เปิดตัวสูงสุดสำหรับสกอร์เซซีด้วย
ในปี 2007 Zodiac ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์อย่างเป็นทางการ และได้รับการจัดจำหน่ายโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สและวอร์เนอร์ บรอส. พิคเจอร์สท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากทั่วโลก จนกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ดีที่สุดในปี 2007 สามปีให้หลัง Zodiac ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษโดยนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลี, ไทม์ เอาท์ นิวยอร์ก, ชิคาโก้ ทริบูนและนิวยอร์ก โพสต์ ตลอดจนนักวิจารณ์และสื่อสำนักอื่นๆ ทั่วโลก
ในเดือนธันวาคม ปี 2010 Black Swan ได้รับการจัดจำหน่ายโดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์ พิคเจอร์สและเปิดตัวท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม ก่อนจะกวาดรายได้ไป 330 ล้านเหรียญทั่วโลกและได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ด รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคว้ารางวัลมาได้ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมสำหรับพอร์ตแมน
ฟิสเชอร์มีภาพยนตร์สามเรื่องที่จะเข้าฉายในปี 2018 รวมถึง The House with a Clock in Its Walls; ภาพยนตร์โดยกัวแด็กนีโนเรื่อง Suspiria ที่นำแสดงโดยดาโกต้า จอห์นสัน, ทิลดา สวินตันและโคลอี้ เกรซ มอเรทซ์และภาพยนตร์ที่เพิ่งเข้าฉายเรื่อง Slender Man ที่สร้างจากตัวละครสยองขวัญชื่อดังและกำกับโดยซิลเวน ไวท์
ผลงานภาพยนตร์หลังจากนี้ของฟิสเชอร์รวมถึง The Long Walk ที่นิวไลน์ ซึ่งสร้างจากหนังสือโดยริชาร์ด บัคแมน (หรือสตีเฟน คิง); The Brigands of Rattleborge ที่กำกับโดยปาร์คชานวุค; The Overlook Hotel (พรีเควลของภาพยนตร์โดยสแตนลีย์ คูบริคเรื่อง The Shining) กับวอร์เนอร์ บรอส. และบริษัทของคูบริค รวมถึงโปรเจ็กต์อื่นๆ กับผู้กำกับและมือเขียนบทต่างๆ รวมถึงฟรานซิส ลอว์เรนซ์, เดนนิส ลีเฮนและอเล็กซ์ โปรยาส
ฟิสเชอร์เริ่มต้นการทำงานที่ฟินิกซ์ พิคเจอร์ส ภายใต้ไมค์ เมดาวอยที่ซึ่งเขาได้ทำงานนาน 13 ปีก่อนที่จะก่อตั้งมิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ในปี 2011 กับเจมส์ แวนเดอร์บิลท์และเลตา คาโลกริดิส
เขาได้รับเลือกจากฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์จากฉบับพิเศษ “Next Generation” ครั้งที่ 13 ในฐานะหนึ่งใน 35 สุดยอดผู้บริหารฮอลลีวูดที่อายุต่ำกว่า 35 ปี และในนิตยสารลอสแองเจลิส คอนฟิเดนเชียล ฉบับฤดูใบไม้ผลิปี 2008 ฟิสเชอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้อำนวยการสร้างทรงอิทธิพล” และเป็น “หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่อนาคตไกลที่สุดของฮอลลีวูดสำหรับภาพยนตร์ที่ซับซ้อนและท้าทาย”
ฟิสเชอร์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการของสเตลลา แอดเลอร์ สตูดิโอ ออฟ แอ็กติ้ง ในลอสแองเจลิสและเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1998 ด้วยปริญญาตรีสาขาภาพยนตร์และจิตวิทยา เขาเป็นชาวนิวยอร์ก เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับคาเรน ภรรยาของเขา, โอลิเวีย ลูกสาวของเขาและลีโอ ลูกชายของเขา รวมถึงสุนัขสี่ตัวชื่อเบนท์ลีย์, โซอี้, ซาดี้และเอลวิส เพรสลีย์ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน
เจมส์ แวนเดอร์บิลท์, พี.จี.เอ. (James Vanderbilt, p.g.a.)—อำนวยการสร้างโดย
เจมส์ แวนเดอร์บิลท์, พี.จี.เอ. ยึดอาชีพเกี่ยวกับงานเขียนตั้งแต่ที่เขาสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรการเขียนบทภาพยตร์จากมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย แวนเดอร์บิลท์ มือเขียนบท, ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างพรสวรรค์ ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตณ์หลากหลายของเขามีตั้งแต่บล็อกบัสเตอร์หนักหน่วงไปจนถึงทริลเลอร์ที่ลุ้นระทึก ขายบทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา 48 ชั่วโมงก่อนจะจบการศึกษา แต่มันก็ไม่ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในทันท
Truth ผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา ซึ่งนำแสดงโดยเคท แบลนเชตต์และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด เป็นภาพยนตร์ปิดงานเทศกาลภาพยนตร์กรุงโรมและได้รับการยกย่องจากนิวยอร์ก ไทม์ให้เป็นหนึ่งในท็อป 10 ภาพยนตร์ประจำปี 2015 โดยนิวยอร์ก ไทม์ นอกเหนือจากนั้น แวนเดอร์บิลท์ยังได้เขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยเดวิด ฟินเชอร์ ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์มือเขียนบทแห่งอเมริกาสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมและรางวัลยูเอสซี สคริปเตอร์ อวอร์ดและภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริคเรื่อง White House Down
ผลงานการเขียนนบทของเขารวมถึงแฟรนไชส์ The Amazing Spider-Man; Basic; The Rundown; The Losers; และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง Murder Mystery ที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์และเจนนิเฟอร์ อานิสตัน และที่เขาอำนวยการสร้างด้วย นอกจากนี้ เขายังได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Suspiria ที่กำกับโดยลูก้า กัวแด็กนีโน รวมถึงซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Altered Carbon อีกด้วย
เขาใช้ชีวิตอยู่ในมาลิบู รัฐแคลิฟอร์เนียกับภรรยา ลูกๆ และสุนัขของเขา
วิลเลียม ชีรัค (William Sherak)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
วิลเลียม ชีรัค ได้เข้าทำงานที่มิธโธโลจี้ในฐานะหุ้นส่วนในเดือนพฤษภาคม ปี 2014 เขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วมกับเจมส์ แวนเดอร์บิลท์และแบรดลีย์ เจ. ฟิสเชอร์ในภาพยนตร์มิธโธโลจี้ปี 2015 เรื่อง Truth ซึ่งนำแสดงโดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดและเคท แบลนเชตต์ นอกจากนี้ ชีรัคยังดำรงตำแหน่งประธานของสเตอริโอ ดี บริษัทที่แปลงภาพจาก 2D เป็น 3D ซึ่งเป็นของดีลักซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ เซอร์วิสเซส, อิงค์. ชีรัคได้ก่อตั้งสเตอริโอ ดีในปี 2009 และในปี 2011 ดีลักซ์ บริษัทโพสต์โปรดักชันที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้ซื้อกิจการบริษัทแห่งนี้ ในฐานะส่วนหนึ่งของแม็คแอนดรูวส์ แอนด์ ฟอร์บส์ บริษัทของนายทุนโรนัลด์ โอ. เพเรลแมน สเตอริโอ ดีภายใต้การบริหารของชีรัคได้เติบโตอย่างน่าประทับใจด้วยความสามารถในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ และการสร้างธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด 3D ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชีรัคได้ทำให้สเตอริโอ ดีกลายเป็นผู้นำของวงการด้านการแปลงภาพคุณภาพสูงและการใช้วิชวล เอฟเฟ็กต์ในผลงานของพวกเขา เช่นในภาพยนตร์เรื่อง Avatar, Thor, Titanic in 3D, The Avengers, Star Trek: Into Darkness, Jurassic Park 3D, Pacific Rim และล่าสุด Godzilla, Guardians of the Galaxy และ Star Wars: The Force Awakens
ด้วยสตูดิโอในเบอร์แบงค์, โตรอนโตและอินเดีย ชีรัคได้ดูแลการพัฒนาและงานสร้างของผลงานที่เข้ารับการแปลงภาพทุกเรื่องทั่วโลก เขาเป็นผู้บริหารงานบริษัทวิชวล เอฟเฟ็กต์แห่งนี้จากที่มีพนักงานเพียง 15 คนมาจนถึงตอนที่มีพนักงานานานาชาติกว่า 1,500 คน สเตอริโอ ดีเป็นหนึ่งในสิบบริษัทบันเทิง/สื่อที่ติดอันดับลิสต์บริษัทที่มีนวัตกรรมสูงสุดประจำปี 2013 ของนิตยสารฟาสต์ และในปี 2014 บริษัทแห่งนี้ก็ได้รับการเสนอชื่อจากลอนดอน ไฟแนนเชียล ไทม์ให้รับรางวัลโบลด์เน อิน บิซิเนสของพวกเขา แม้ว่าชีรัคจะกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นด้านบริการหลังการถ่ายทำ แบ็คกราวน์ของเขาอยู่ที่งานพัฒนาและงานสร้างภาพยนตร์ เขาเริ่มต้นการทำงานในปี 1997 ที่เดวิส เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเขาไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ร่วมก่อตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ บลูสตาร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ในปี 2000 บลูสตาร์ได้เซ็นสัญญางานสร้างโดยรวมกับเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ ในขณะนั้น ชีรัคอายุเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น ระหว่างอยู่ที่เรฟโวลูชัน เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Little Black Book, Darkness Falls และ Daddy Day Camp หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำงานทั้งจอแก้วและจอเงินเมื่อเขาทำงานในซีรีส์ยอดนิยมทางเอฟเอ็กซ์เรื่อง Anger Management ซึ่งนำแสดงโดยชาร์ลีย์ ชีนและอำนวยการสร้างเรื่อง Are We There Yet? ซึ่งนำแสดงโดยเทอร์รี ครูว์สและไอซ์ คิวบ์ ซีรีส์ทั้งสองเรื่องได้รับความเห็นชอบให้มีการสร้าง 100 เอพิโซด
นอกเหนือจากนั้น ชีรัคยังได้พบบทภาพยนตร์ที่ยังไม่ถูกสร้างในห้องสมุดของเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์และได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง I Hate Valentine’s Day และ Bangkok Dangerous เขายังคงทำงานภาพยนตร์ด้วยข้อตกลงกับโซนีและพาราเมาท์ สตูดิโอส์ ที่ซึ่งเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Role Models และ Middle Men
ชีรัคเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา, สมาคมอินเตอร์เนชันแนล 3D และสภาฟูลฟิลเมนต์ ฟันด์ ลีดเดอร์ชิพ เคาน์ซิล
เทรซีย์ ไนเบิร์ก (Tracey Nyberg)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
แม้จะเป็นคอภาพยนตร์เสมอ แต่จนกระทั่งฤดูร้อนหลังจากอยู่ปีสามที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เทรซีย์ ไนเบิร์กถึงได้ฝึกงานในแบบที่ทำให้เธอมองเห็นถึงศักยภาพของการประกอบอาชีพในแวดวงภาพยนร์ หลังจากศึกษาจบในสาขาประวัติศาสตร์ เธอก็ย้ายไปลอสแองเจลิสหลังจากสำเร็จการศึกษาและเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยที่เอ็นดีเวอร์
สองสามปีให้หลัง เธอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารที่โอเวอร์บรู๊ค เอนเตอร์เทนเมนต์และได้ร่วมงานกับวิล สมิธในภาพยนตร์ของเขาเรื่อง I Am Legend, Hancock และ Seven Pounds หลังจากนั้น เธอก็ย้ายไปทำงานที่เทมเปิล ฮิล เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่งเธอได้ดูแลงานพัฒนาตอนไพล็อตสำหรับซีรีส์เอบีซีเรื่อง Revenge และได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยแลสซี ฮอลสตรอมเรื่อง Safe Haven และภาพยนตร์โดยจอร์จ ทิลแมน, จูเนียร์เรื่อง The Longest Ride
ปัจจุบัน เธอดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายพัฒนาที่มิธโธโลจี้ เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งมีผลงานรีเมกเรื่อง Suspiria เตรียมเข้าฉายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้และภาพยนตร์สยองขวัญที่เพิ่งเข้าฉายเร็วๆ นี้ เรื่อง Slender Man
เลตา คาโลกริดิส (Laeta Kalogridis)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
เลตา คาโลกริดิส ผู้มีวิสัยทัศน์และพรสวรรค์หาตัวจับยาก ได้ทำงานในตำแหน่งผู้สร้าง ได้ร่วมงานกับนักแสดง ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง นักแสดงและมือเขียนบทที่เก่งที่สุดในวงการหลายคน และเธอก็เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งและปราศจากความกลัวในบรรดามือเขียนบททั้งหญิงและชาย
เธอดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ปี 2009 เรื่อง Avatar ที่กำกับโดยเจมส์ คาเมรอน เธอทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างและมือเขียนบทภาพยนตร์ปี 2010 เรื่อง Shutter Island ที่กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซีและนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในปี 2013 เธอได้อำนวยการสร้าง White House Down และเธอก็ได้ทำหน้าที่มือเขียนบทร่วมและผู้ควบคุมงานสร้างของ Terminator Genisys ภาคที่ห้าในแฟรนไชส์ Terminator สำหรับพาราเมาท์ พิคเจอร์สอีกด้วย
ปัจจุบัน คาโลกริดิสเป็นผู้สร้าง มือเขียนบทและผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ที่ทุนสร้างสูงที่สุด ที่บริหารงานโดยผู้หญิง ซีรีส์เน็ตฟลิกซ์แปลกใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Altered Carbon ซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 และมียอดผู้ชมต่างชาติสูงที่สุดในบรรดาซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ออริจินอลทุกเรื่องจนถึงปัจจุบัน
เธอยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนเรื่อง Alita: Battle Angel ในฐานะมือเขียนบทร่วมกับเจมส์ คาเมรอนและโรเบิร์ต โรดริเกซ
นอกเหนือจากนั้น คาโลกริดิสยังได้เขียนบทภาพยนตร์สำหรับภาพยนตร์โดยโอลิเวอร์ สโตนเรื่อง Alexander, ภาพยนตร์โดยมาร์คัส นิสเพลเรื่อง Pathfinder และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ Bionic Woman และ Birds of Prey
ในบรรดาความสำเร็จมากมายของเธอ เธอยังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่สนับสนุนสหพันธ์ ยูไนเต็ด ฮอลลีวูด และมีส่วนร่วมในฐานะผู้เจรจาในการประท้วงของสมาพันธ์มือเขียนบทแห่งอเมริกาในปี 2007-2008 อีกด้วย
เธอสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเดวิดสันแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสและยูซีแอลเอ สคูล ออฟ เธียเตอร์, ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน ด้วยปริญญาโทสาขาการเขียนบท
มาร์ค แม็คแนร์ (Mark McNair)—ผู้ควบคุมงานสร้าง
ปัจจุบัน มาร์ค แม็คแนร์ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ยอดนิยมทางเอเอ็มซีเรื่อง Preacher ที่เขียนบทโดยแซม เคทลิน, เซธ โรแกนและอีวาน โกลด์เบิร์ก ซีรีส์ที่น่าตื่นเต้นนี้สร้างขึ้นจากนิยายภาพที่เขียนโดยการ์ธ เอนนิสและนำแสดงโดยโดมินิค คูเปอร์, รูธ เน็กกาและโจ กิลกัน
ผลงานจอแก้วล่าสุดรวมถึงซีรีส์ดังโดยโซนี/ดับบลิวจีเอ็นเรื่อง Underground ดรามาแอ็กชันท้าทายเกี่ยวกับกลุ่มทาสที่หลบหนีด้วยทางรถไฟใต้ดิน ในปี 1857 ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ รวมถึงการอำนวยการสร้างซีซันสองและสามของซีรีส์ยอดนิยมทางเอชบีโอเรื่อง True Blood ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด (สาขาซีรีส์ดรามายอดเยี่ยม), รางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมิกา (รางวัลนอร์ตัน เฟลตัน ผู้อำนวยการสร้างแห่งปีในซีรีส์-ดรามา) และรางวัลเอเอฟไอ (รายการโทรทัศน์แห่งปี)
ผลงานภาพยนตร์ของแม็คแนร์รวมถึงการทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับหายนะของวอร์เนอร์ บรอส./นิวไลน์เรื่อง Into the Storm และผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์ผจญภัยบล็อกบัสเตอร์สำหรับครอบครัวโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สเรื่อง Oz the Great and Powerful ที่กำกับโดยแซม ไรมีและนำแสดงโดยเจมส์ ฟรังโก้, มิลา คูนิส, ราเชล ไวซ์และมิเชลล์ วิลเลียมส์
นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันดิจิตอล 3D เรื่องแรก Journey to the Center of the Earth ซึ่งนำแสดงโดยเบรนแดน เฟรเซอร์และจอช ฮัทเชอร์สันสำหรับวอลเดน/นิวไลน์ เขารับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างในภาพยนตร์คอเมดีธีมดนตรีโดยมัลคอล์ม ดี. ลี ซึ่งนำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสันและเบอร์นีย์ แม็ค ผู้ล่วงลับสำหรับเดอะ ไวน์สไตน์ คัมปะนี
โรเจียร์ สตอฟเฟอร์ส, เอเอสซี, เอ็นเอสซี (Rogier Stoffers, ASC, NSC)—ผู้กำกับภาพ
โรเจียร์ สตอฟเฟอร์ส, เอเอสซี, เอ็นเอสซี เกิดในเนเธอร์แลนด์ในปี 1961 หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับไฮสคูล เขาก็ศึกษาภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส ก่อนที่จะศึกษาด้านละครเวทีและภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยยูเทรทช์ ในปี 1985 เขาได้เข้าศึกษาหลักสูตรกำกับภาพของสถาบันภาพยนตร์เนเธอร์แลนด์ เขาสำเร็จการศึกษาในปี 1989 และทำหน้าที่ผู้กำกับภาพใน Alaska สำหรับผู้กำกับไมค์ แวน เดียม ภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้ได้รับรางวัลโกลเดน คาล์ฟ สาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เนเธอร์แลนด์และได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดนักศึกษาสาขาภาพยนตร์นักศึกษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
หลังจากทำงานในซีรีส์โทรทัศน์ในเนเธอร์แลนด์มาหกปี เขาก็ได้ร่วมงานกับแวน เดียมอีกครั้งสำหรับ Character ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา Character ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 1997 และรางวัลกบทองคำสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลคาเมริเมจในโปแลนด์ในปีเดียวกัน
ในปี 1999 คณะกรรมการของเทศกาลภาพยนตร์เนเธอร์แลนด์ได้มอบรางวัลโกลเดน คาล์ฟสาขากำกับภาพให้กับสตอฟเฟอร์สจากผลงานของเขาระหว่างปี 1994-1999
หลังจากภาพยนตร์ฟอร์มเล็กหลายเรื่องในเนเธอร์แลนด์ สตอฟเฟอร์สก็ได้ถ่ายทำ Quills ภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องแรกของเขา สำหรับผู้กำกับฟิลิป คอฟแมนในปี 1999 หลังจากเสร็จงานจากเรื่อง John Q สำหรับผู้กำกับนิค คาสซาเวทส์ในโตรอนโต ไมเคิล แอ็พเท็ดก็ขอให้เขามาร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง Enough ในอเมริกา ที่ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตและทำงานตั้งแต่ปี 2001
School of Rock, Disturbia, Lakeview Terrace, The Secret Life of Bees และ The Vow เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่เขาได้ทำงานในอเมริกา
ในต่างประเทศ สตอฟเฟอร์สได้ถ่ายทำส่วนหนึ่งของภาพยนตร์โดยเซอร์เจย์ โบดรอฟเรื่อง Mongol: The Rise of Genghis Khan (เครดิตร่วมกับเซอร์เจย์ โทรฟิมอฟ) Mongol ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 2008 และสตอฟเฟอร์สและโทรฟิมอฟก็ได้รับรางวัลนิก้า อวอร์ดในรัสเซีย ในสาขาผู้กำกับภาพยอดเยี่ยมและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลภาพยนตร์ยุโรปสาขากำกับภาพยอดเยี่ยม (คาร์โล ดิ พัลมา อวอร์ด)
ในปี 2012 สตอฟเฟอร์สได้ถ่ายทำภาพยนตร์เอชบีโอโดยฟิลิป คอฟแมนเรื่อง Hemingway & Gellhorn ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมสำหรับมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์และรางวัลเอเอสซี อวอร์ดสาขาความสำเร็จยอดเยี่ยมในการกำกับภาพในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือมินิซีรีส์
ในปี 2015 สตอฟเฟอร์สได้กลับมาร่วมงานกับแวน เดียมอีกครั้งใน The Surprise และในปีถัดมา เขาก็กลับไปยุโรปอีกครั้งเพื่อทำงานใน Brimstone เวสเทิร์นที่กำกับโดยมาร์ติน คูลโฮเวน ซึ่งเข้าฉายสายประกวดในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2016 และได้รับรางวัลโกลเดน คาล์ฟ อวอร์ดสาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เนเธอร์แลนด์ในปี 2017 นอกจากนี้ Brimstone ยังเข้าฉายสายประกวดในงานเทศกาลคาเมริเมจปี 2017 ในโปแลนด์อีกด้วย
สตอฟเฟอร์สเป็นสมาชิกของสมาคมผู้กำกับภาพเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 1994, สถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 2001 และสมาคมผู้กำกับภาพอเมริกันตั้งแต่ปี 2009
จอน ฮูทแมน (Jon Hutman)—ผู้ออกแบบงานสร้าง
จอน ฮูทแมน ได้ร่วมมือกับผู้กำกับแองเจลินา โจลีใน In the Land of Blood and Honey ภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากผลงานของเขาใน Unbroken ก่อนที่จะได้ออกแบบภาพยนตร์เรื่อง By the Sea และ The Mummy
เขาได้ร่วมงานกับโจลีครั้งแรกใน The Tourist ที่กำกับโดยฟลอเรียน เฮนเคล วอน ดอนเนอร์สมาร์ค ผลงานล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยสก็อต วอห์เรื่อง Need for Speed และภาพยนตร์โดยอดัม แชงค์แมนเรื่อง Rock of Ages ฮูทแมนได้ร่วมมือสี่ครั้งกับแนนซี ไมเออร์ส ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Women Want และเป็นมือเขียนบท/ผู้กำกับของ Something’s Gotta Give, The Holiday และ It’s Complicated ด้านจอแก้ว เขาได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์จากการออกแบบเอพิโซดไพล็อตของซีรีส์โดยแอรอน ซอร์กินเรื่อง The West Wing นอกเหนือจากนั้น ฮูทแมนยังได้อำนวยการสร้างและกำกับซีรีส์ Gideon’s Crossing อีกด้วย
เขาได้ทำงานในภาพยนตร์หลายเรื่องของลอว์เรนซ์ คัสแดน โดยเขาทำหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างและผู้ร่วมอำนวยการสร้างใน Dreamcatcher และ Mumford, ผู้ออกแบบงานสร้างใน French Kiss และผู้กำกับศิลป์ใน I Love You to Death
ฮูทแมนรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างในภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ดเรื่อง The Horse Whisperer, Quiz Show และ A River Runs Through It และภาพยนตร์โดยซิดนีย์ พอลแล็คเรื่อง The Interpreter ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์โดยเดวิด แม็คแนลลีเรื่อง Coyote Ugly, ภาพยนตร์โดยเอเดรียน ไลน์เรื่อง Lolita, ภาพยนตร์โดยไมเคิล แอ็พเท็ดเรื่อง Nell, ภาพยนตร์โดยสตีฟ โคฟส์เรื่อง Flesh and Bone, ภาพยนตร์โดยอาเธอร์ ฮิลเลอร์เรื่อง Taking Care of Business, ภาพยนตร์โดยวอลเตอร์ ฮิลส์เรื่อง Trespass, ภาพยนตร์โดยไมเคิล เลห์แมนน์เรื่อง Meet the Applegates และผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของโจดี้ ฟอสเตอร์เรื่อง Little Man Tate เขาได้รับเครดิตการเป็นผู้ออกแบบงานสร้างครั้งแรกในภาพยนตร์คัลท์ยอดนิยมโดยเลห์แมนน์เรื่อง Heathers.
ฮูทแมนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาด้านการออกแบบฉาก การวาดรูป และการให้แสงที่สคูล ออฟ ดรามาแห่งมหาวิทยาลัยเยล เขากลับสู่ลอสแองเจลิสบ้านเกิดของเขาและเข้าสู่วงการบันเทิงในตำแหน่งผู้ช่วยในแผนกศิลป์ในภาพยนตร์เรื่อง The Hotel New Hampshire ก่อนจะมารับหน้าที่ผู้ตกแต่งฉากในภาพยนตร์เรื่อง To Live and Die in L.A. ฮูทแมนได้รับเครดิตผู้กำกับศิลป์ในภาพยนตร์เรื่อง Wanted: Dead or Alive, Shag และ Worth Winning ก่อนที่เขาจะได้ออกแบบภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
เฟร็ด รัสคิน, เอซีอี (Fred Raskin, ACE)—ลำดับภาพโดย
เฟร็ด รัสคิน สำเร็จการศึกษาจากทิสช์ สคูล ออฟ ดิ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาเริ่มต้นทำงานในห้องลำดับภาพในตำแหน่งผู้ช่วยมือลำดับภาพของดีแลน ทิชเนอร์ (Boogie Nights) และแซลลี เมนเก้ (Kill Bill) ก่อนที่จะรับหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีปี 2002 ของพอล โธมัส แอนเดอร์สันเรื่อง Punch-Drunk Love สำหรับเรฟโวลูชัน สตูดิโอส์ หลังจากนั้น เขาก็รับหน้าที่มือลำดับภาพเสริมในภาพยนตร์อินดีแปลกใหม่ปี 2003 ของจัสติน ลินเรื่อง Better Luck Tomorrow สำหรับเอ็มทีวี ฟิล์มส์ ก่อนที่จะไปลำดับภาพให้กับภาพยนตร์อีกสี่เรื่องของลินได้แก่ Annapolis, The Fast and the Furious: Tokyo Drift, Fast & Furious และ Fast Five ล่าสุด เขาได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์โดยเควนติน ทารันติโนเรื่อง The Hateful Eight และ Django Unchained ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ด, ภาพยนตร์โดยเอส. เคร็ก ซาห์เลอร์เรื่อง Bone Tomahawk และภาพยนตร์โดยเจมส์ กันน์เรื่อง Guardians of the Galaxy และ Guardians of the Galaxy Vol. 2 สำหรับมาร์เวล สตูดิโอส์
มาร์ลิน สจวร์ต (Marlene Stewart)—ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
มาร์ลิน สจวร์ตเป็นนักออกแบบเจ้าของแนวคิดแปลกใหม่ผู้ได้รับรางวัล ผู้สร้างประวัติการทำงานที่ยาวนานและมีสีสัน ด้วยการได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดในวงการหลายคน
ผลงานการทำงานเริ่มแรกของเธอเริ่มจากการร่วมงานกับนักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง The Doors และ JFK หลังจากนั้น เธอก็ได้ร่วมงานกับเจมส์ คาเมรอนในภาพยนตร์ดังเรื่อง Terminator 2: Judgment Day และ True Lies
เธอสานต่อการทำงานในผลงานยุคพีเรียดด้วย Ali กับผู้กำกับไมเคิล แมนน์ ผู้ประสบความสำเร็จ ก่อนจะขยับไปสู่ดรามาร่วมสมัยกับผู้กำกับเจ้าของรางวัล อเลฮันโดร จี. อินาร์ริตูเรื่อง 21 Grams
เธอได้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างชื่อดังอีกหลายคนในภาพยนตร์ร่วมสมัยหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์โดยเจอร์รี บรั๊คไฮเมอร์เรื่อง Gone in 60 Seconds และ Coyote Ugly, ภาพยนตร์โดยโจเอล ชูมัคเกอร์เรื่อง Falling Down ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักลาส, ภาพยนตร์โดยเดวิด ด็อบคินเรื่อง The Judge ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์., ภาพยนตร์โดยเคอร์ติส แฮนสันเรื่อง The River Wild ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพ, ภาพยนตร์โดยแนนซี ไมเออร์สเรื่อง The Holiday, ภาพยนตร์โดยฟิลลิป นอยซ์เรื่อง The Saint และภาพยนตร์โดยคิมเบอร์ลีย์ เพียร์ซเรื่อง Stop-Loss
เธอได้ร่วมงานกับเบน สติลเลอร์ในภาพยนตร์สามเรื่องได้แก่ Tropic Thunder, Night at the Museum: Battle of the Smithsonian และ Night at the Museum 3 นอกจากนั้น เธอก็ได้ร่วมงานกับวิล สมิธในภาพยนตร์สามเรื่องด้วย ได้แก่ Ali, Hitch และภาพยนตร์โดยโทนี สก็อตเรื่อง Enemy of the State
นอกเหนือจากภาพยนตร์สองภาคจากแฟรนไชส์ Night at the Museum แล้ว สจวร์ตยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับชอว์น เลวีในภาพยนตร์เรื่อง Real Steel และ Date Night อีกด้วย
นอกจากนี้ ผลงานของเธอยังรวมถึงภาพยนตร์โดยโจเซฟ โคซินสกี้เรื่อง Oblivion ซึ่งนำแสดงโดยทอม ครูซ; พีเรียดแฟนตาซีเรื่อง Hansel & Gretel: Witch Hunters ซึ่งนำแสดงโดยเจเรมี เรนเนอร์, ภาพยนตร์พีเรียดยุค 30s เรื่อง The Phantom ซึ่งนำแสดงโดยบิลลี เซนและภาพยนตร์ที่มีชีวิตชีวาเรื่อง To Wong Foo, Thanks for Everything! Julie Newmar ซึ่งนำแสดงโดยแพทริค สเวย์ซี ผู้ล่วงลับ
ผลงานภาพยนตร์ช่วงเริ่มแรกเรื่องอื่นๆ รวมถึง Siesta ซึ่งนำแสดงโดยเอลเลน บาร์คินและโจดี้ ฟอสเตอร์, ซีรีส์ Pet Sematary; ภาพยนตร์โดยเจมส์ บรู๊คส์เรื่อง I’ll Do Anything และภาพยนตร์โดยอาเบล เฟอร์ราราเรื่อง Dangerous Game ซึ่งนำแสดงโดยมาดอนนาและฮาร์วีย์ คาร์เทล
นอกจากนี้ สจวร์ตยังได้ออกแบบงานจอแก้วและโฆษณาหลายชิ้น แต่เธอเป็นผู้บุกเบิกในแวดวงมิวสิค วิดีโอและเอ็มทีวี ที่ซึ่งเธอได้ร่วมงานกับมาดอนนาในวิดีโอที่โด่งดังอย่าง “Material Girl,” “Vogue,” “Express Yourself,” “Papa Don’t Preach,” “Like a Prayer” และการทัวร์รอบโลกหลายครั้งของมาดอนนา ระหว่างช่วงเวลานี้ เธอได้สร้างลุคให้กับศิลปินที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก รมถึงโรลลิง สโตน, ร็อด สจวร์ต, เจเน็ต แจ็คสัน, ยูริธมิคส์, สแมชชิง พัมพ์คินส์, แชร์, เบ็ตต์ มิดเลอร์ และกลอเรีย เอสตาฟานและไมอามี ซาวน์ แมชชีน
สจวร์ตได้รับรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิค อวอร์ดสาขาเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมครั้งแรกและรางวัลบ็อบ แม็คกี้ ดีไซน์ อวอร์ด และในปี 2012 เขาก็ได้รับรางวัลความสำเร็จแห่งอาชีพด้านภาพยนตร์ดิซารอนนาจากสมาพันธ์ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย
ก่อนหน้าการทำงานในวงการดนตรี สจวร์ตได้ออกแบบไลน์เสื้อผ้าร่วมสมัยในชื่อ คัฟเวอร์ส ซึ่งวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทุกแห่งในอเมริกา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนักออกแบบระดับแนวหน้าของแคลิฟอร์เนีย แต่เธอยังได้ทำงานในอังกฤษและยุโรปอย่างกว้างขวางอีกด้วย
สจวร์ตมาจากบอสตัน เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ยุโรปจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย รัฐเบิร์คลีย์ และสำเร็จการศึกษาด้านการออกแบบจากสถาบันแฟชัน อินสติติวท์ ออฟ ดีไซน์ แอนด์ เมอร์เชนไดซิงในนิวยอร์ก
โปรเจ็กต์ล่าสุดของเธอรวมถึง Allegiant ภาคสามของแฟรนไชส์ The Divergent; The Fate of the Furious และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง Triple Frontier
นาธาน บาร์ (Nathan Bar)—ดนตรีโดย
นาธาน บาร์ นักประพันธ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากความสามารถที่ไม่มีใครเทียบได้ของเขา ด้วยการผสมผสานเครื่องดนตรีหลากหลายจากวัฒนธรรมดนตรีทั่วโลก เมื่อเร็วๆ นี้ บาร์เพิ่งเสร็จจากการก่อสร้างในพื้นที่สตูดิโอส่วนตัวขนาด 8,000 ตารางฟุตในทาร์ซานา รัฐแคลิฟอร์เนีย สตูดิโอแห่งนี้ ที่มีชื่อว่า แบนด์ริกา เป็นที่ตั้งของไปป์ออร์แกนเวอร์ลิทเซอร์ดั้งเดิม ที่เคยถูกติดตั้งที่ฟ็อกซ์ สตูดิโอส์ในปี 1928 มาก่อน ด้วยท่อ 1,500 ท่อ ดนตรีของออร์แกนชิ้นนี้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ที่โด่งดังหลายเรื่อง รวมถึง Journey to the Center of the Earth, The Sound of Music และ Patton ภาพยนตร์เรื่อง The House with a Clock in Its Walls ที่จะเข้าฉายในวันที่ 21 กันยายนจะเป็นการเปิดตัวในศตวรรษที่ 21 ของเวอร์ลิทเซอร์สำหรับผู้ชมภาพยนตร์
นอกเหนือจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ บาร์ยังเพิ่งแต่งดนตรีประกอบแอ็กชันทริลเลอร์ดิสโทเปียดิบเถื่อนเรื่อง The Domestics ซึ่งนำแสดงโดยเคท บอสเวิร์ธและไทเลอร์ โฮชลินอีกด้วย ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการแต่งดนตรีประกอบซีซันสองของซีรีส์เวสเทิร์นอีพิคหลากรุ่นของเอเอ็มซีเรื่อง The Son ที่นำแสดงโดยเพียร์ซ บรอสแนน ปลายปี 2018 เขาจะแต่งดนตรีประกอบพีเรียดดรามาแฟนตาซีเรื่องใหม่ของอเมซอน Carnival Row ที่นำแสดงโดยออร์ลันโด้ บลูมและอำนวยการสร้างโดยกุยเลอร์โม เดล โทโร นอกจากนี้ เขายังแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ไซไฟดรามาโดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Flatliners ซึ่งนำแสดงโดยไคเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์, เอลเลน เพจและนีนา โดเบรฟและสองซีซันของดรามาเกี่ยวกับนักต้มตุ๋นของอเมซอนเรื่อง Sneaky Pete ซึ่งนำแสดงโดยจิโอวานนี ริบิซีอีกด้วย
การปรับตัวได้ที่ยอดเยี่ยมของบาร์ทำให้เขาได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์โทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลายเรื่อง เขาได้แต่งดนตรีประกอบทั้งหกซีซันของซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง The Americans ที่นำแสดงโดยเคอรี รัสเซลและแมทธิว ริส และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขาดนตรีธีมหลักดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 2013 นอกจากนี้ ดนตรีของเขายังปรากฏอยู่ในทั้งเจ็ดซีซันของซีรีส์ขวัญใจแฟนๆ ที่ได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดของเอชบีโอเรื่อง True Blood และซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง Hemlock Grove ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขาดนตรีเมน ไตเติล ธีมดั้งเดิมยอดเยี่ยม
ด้วยการได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมีจากทั้ง The Americans และ Hemlock Grove บาร์ก็ได้รับการยกย่องจากการเป็นนักประพันธ์คนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในสาขาดนตรีธีมหลักยอดเยี่ยมในปีเดียวกัน
นอกเหนือจากผลงานมากมายในจอแก้วแล้ว บาร์ยังมีผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมายระหว่างที่เขากำลังก้าวเข้าสู่การทำผลงานเรื่องที่ 40 บาร์ ผู้มักร่วมงานกับปรมาจารย์ภาพยนตร์สยองขวัญสุดขวัญผวา อีไล ร็อธ ได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกช่วงเริ่มแรกของบาร์เรื่อง Cabin Fever และ Hostel ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของบาร์รวมถึง ภาพยนตร์ทริลเลอร์ยอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยร็อบ โคเฮนเรื่อง The Boy Next Door ซึ่งนำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ; ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง The Dukes of Hazzard; ภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง The Last Exorcism และภาพยนตร์โดยสตีเฟน โมเยอร์เรื่อง The Parting Glass ซึ่งนำแสดงโดยแอนนา พาควิน
บาร์เริ่มศึกษาเรื่องดนตรีในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่ออายุได้สี่ขวบ เขาโตขึ้นมาด้วยการถูกห้อมล้อมด้วยดนตรีที่มีความหลากหลายตั้งแต่ละครคาบูกิไปจนถึงเสียงที่แม่ของเขาเล่นโกโตะและเปียโนและพ่อของเขาเล่นแบนโจ, กีตาร์และชาคูฮาจิ
นอกเหนือจากการแต่งดนตรีประกอบแล้ว เขายังได้เล่นเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่ปรากฏในการเรียบเรียงเสียงของเขาและเขาก็ชำนาญสไตล์และแนวดนตรีต่างๆ ที่มีความหลากหลายตั้งแต่ออร์เคสตราไปจนถึงร็อค นอกจากนี้ บาร์ยังเป็นที่รู้จักจากการสะสมและการใช้เครื่องดนตรีหายากและไม่ธรรมดาจากทั่วโลก เช่นทรัมเป็ตกระดูกมนุษย์จากทิเบต, เปียโนพังๆ, ฮาร์โมนิกาแก้วที่หายาก, กูดเชลโลและ ฯลฯ
ปัจจุบัน บาร์อาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
—the house with a clock in its walls—
ติดตาม ReviewsPooH ที่นี่
Website : www.reviewspooh.com
Instagram : @reviewpooh
Facebook Page : @reviewpooh
Youtube : reviewpoohyoutube